เก็บตกจากวชิรวิทย์ | 9 มิ.ย. ปลดล็อก “กัญชาเสรี” โอกาสหรือผูกขาด
สำรวจธุรกิจกัญชาจากต้นน้ำ ถึงปลายน้ำใครได้ประโยชน์ ?
การปลดล็อกกัญชาออกจากบัญชียาเสพติดอย่างเป็นทางการ วันที่ 9 มิ.ย. 2565 เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของ “กัญชาเสรี” เท่านั้นการปลดล็อกที่แท้จริงจะอยู่ที่ การผ่าน ร่าง พ.ร.บ.กัญชาฯ ซึ่งจะเปิดทางจดแจ้งปลูกเชิงพาณิชย์
นโยบายกัญชาเสรี เป็นนโยบายที่เป้าหมายเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก แต่คำถามก็คือ “ฐานราก” อย่างเกษตรกร หรือประชาชนทั่วไปจะได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากการปลูกกัญชาอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยหรือไม่
เก็บตกจากวชิรวิทย์ สำรวจวงจรธุรกิจอุตสาหกรรมกัญชา ที่แบ่งออกเป็น 3 ช่วงคือ ต้นน้ำ เกษตรกรผู้ปลูกกัญชาจากไร่ กลางน้ำ คือโรงงานสกัด และ ปลายน้ำคือผู้นำสารสกัดกัญชามาผลิตแปรรูปออกมาเป็นผลิตภัณฑ์
ต้นน้ำ
การปลูกกัญชาจะให้ได้คุณภาพจริงๆ นั้นมีต้นทุนค่อนข้างสูง “คณาพงษ์ วงศ์งาม” ประธานวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์ บ้านสหกรณ์ จ.เชียงใหม่ บอกว่าสองแสนบาทคือมูลค่าที่ต้องลงทุนเริ่มต้นกับการปลูกสร้างโรงเรือนกัญชา โดยหนึ่งโรงปลูกได้เพียง 50 ต้น เพราะว่ากัญชาเป็นพืชที่ดูดซับสารเคมีและสารโลหะหนักจากดินได้ดี ดังนั้นกระบวนการปลูกจึงต้องพิถีพิถันให้ปลอดสารพิษและควบคุมสารโลหะหนักจึงจะมีคุณภาพมากพอที่จะส่งต่อ เฉพาะส่วนดอกให้กรมแพทย์แผนไทย นำไปสกัดสาร CBD
การใช้เงินในการเริ่มต้นการปลูกที่สูงถึงหลักแสนบาท จึงต้องรวมกลุ่มเป็นวิสาหกิจชุมชนเพื่อระดมทุน หรืออาจเป็นเอกชนหรือนายทุนที่มีสายป่านยาวคำถามก็คือ เกษตรกรทั่วไปจะเข้าถึงการปลูกกัญชาได้จริงหรือไม่ หลังถูกปลดออกจากบัญชียาเสพติดแล้ว
กลางน้ำ
เก็บตกจากวชิรวิทย์ เดินทางไปที่ บริษัท ซาลัส ไบโอซูติคอล (ประเทศไทย) จำกัด จ.เชียงใหม่ เป็นโรงงานสกัดกัญชาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีกำลังการผลิตรองรับดอกกัญชา 200 ไร่ต่อปี โรงงานสกัดมีบทบาทคล้ายพ่อค้าคนกลางมีอำนาจในการกำหนดราคาก็จริง แต่ “ธนดี พันธุมโกมล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการบริษัท ซาลัส บอกว่า มีโครงการที่จะส่งเสริมเกษตรกรให้ปลูกกัญชาในรูปแบบเกษตรพันธสัญญา หรือ Contect Farming แต่ยืนยันว่าไม่มีการผูกขาดอย่างแน่นอน
นักธุรกิจไทยที่สนใจอุตสาหกรรมกัญชาคนนี้ยังประเมินด้วยว่า การปลดล็อกกัญชา ออกจากบัญชียาเสพติดเป็นเพียงการเริ่มต้น แต่เสรีกัญชาจะเกิดขึ้นจริงหากร่างพ.ร.บ.กัญชาฯ แล้วเสร็จ มีผลบังคับใช้โดย คาดว่าหลังกฎหมายฉบับนี้1 ปี ก็อาจเกิดภาวะกัญชาล้นตลาด คือปลูกจนเกินความต้องการภายในประเทศและต้องหาทางส่งออก
ปลายน้ำ
ผู้ผลิตปลายน้ำ อย่าง “สุรพงษ์ หมั่นเพียร” ผู้จัดการร้านสมุนไพรคาเฟ่จ.เชียงใหม่ เป็นกลุ่มสตาร์ทอัพรายย่อย บอกว่าหลังศึกษาสรรพคุณกัญชามาเป็นเวลานานแล้ว จึงมองว่าการปลดล็อกกัญชาออกจากบัญชียาเสพติด จะเป็นก้าวแรก ที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อยได้มีทางเลือก หยิบกัญชาขึ้นมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายสร้างมูลค่าเพิ่ม
ปัจจุบันในร้านไม่ได้มีเพียงเครืองดื่ม แต่ยังมีผลิตภัณฑ์และอาหารอื่นๆ ที่มีส่วนผสมของกัญชา เช่น คุ๊กกี้กัญชา ไส้อั่วกัญชา เป็นต้น โดยหลังจากเปิดร้านมาได้6 เดือนมีแนวโน้มยอดขายเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้คณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เห็นชอบให้ใช้ส่วนของกัญชาและกัญชงในผลิตภัณฑ์อาหาร เมื่อวันที่ 22 ก.พ. 2564 แม้ปัจจุบัน ร่าง พ.ร.บ.กัญชา ยังไม่บังคับใช้ แต่ อย. ก็ได้อนุญาตผลิตภัณฑ์ที่มีกัญชาผสมอยู่หลายชนิด ที่ต้องเป็นไปตามมาตรฐานกำหนดสาร THC ไม่เกิน 0.2%
รศ.พญ.รัชมน กัลยาศิริ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาปัญหายาเสพติด ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่าปี 2564 พบคนไทยอายุ 18-25 ปีใช้กัญชาที่ไม่ใช่ทางการแพทย์ จำนวน 1.89 ล้านคน เพิ่มขึ้น 2 เท่า จากปี2563 หลังกระทรวงสาธารณสุขเปิดให้ใช้บางส่วนของกัญชา และเริ่มมีร้านค้าขายกัญชาเป็นเรื่องปกติ
ตัวผลิตภัณฑ์ของกัญชาที่ดูไม่เป็นอันตรายจากภาพลักษณ์เดิม เมื่อลงพื้นที่ตรวจสอบ มีบางส่วนที่ค่า THC ซึ่งเป็นสารที่ออกฤทธิ์ทางประสาท เกินมาตรฐาน สิ่งนี้นำมาสู่ความกังวลว่าการปลดล็อกกัญชาจะควบคุมยากขึ้น และในความเป็นจริงสินค้าที่มีส่วนของสารสกัดกัญชาในตลาดมีจำนวนมากกว่าที่ขึ้นทะเบียนกับ อย. ด้วย
“กัญชา” สู่พืชเศรษฐกิจหมื่นล้าน
อย.ได้คาดการณ์มูลค่าทางเศรษฐกิจ การปลูกพืชกัญชา จากการเก็บข้อมูลเมื่อปี2564 มูลค่า 600 ล้านบาท และคาดการว่าอีก 5 ปี ต่องมาในปี 2569 มูลค่าจากอุตสาหกรรมกัญชาจะสูงถึง 15,770 ล้านบาท
หรือ เพิ่มขึ้น 126%
ปัจจุบันมีความพยายามกำหนดราคากลางของกัญชา นี่คือราคาในช่วงกัญชายังเป็นยาเสพติด
-ดอกกัญชาแห้งอัดแท่ง กิโลกรัมละ 10,000 – 20,000 บาท
-ใบกัญชาสด กิโลกรัมละ 5,900 บาท
-ใบกัญชาแห้ง 100 กรัม 2,200 บาท
-รากกัญชา 100 กรัม 2,000 บาท
ปัจจุบันมีร่าง ร่าง พ.ร.บ.กัญชา พ.ศ. … ที่เสนองเข้าสภาอยู่ทั้งหมด 3 ร่างคือร่างของพรรคภูมิใจไทย ร่างของ อย. และ ร่างของภาคประชาชน โดยร่างของ อย. มีการกำหนดควบคุมกัญชาไว้ทั้ง 3 ช่วงการผลิต
1.ต้นน้ำ
-ปลูกแบบครัวเรือน หรือแพทย์แผนไทย = จดแจ้งภายในจังหวัด
-ปลูกเชิงอุตสาหกรรม = ขอใบอนุญาต มีอายุ 3 ปี จ่ายค่าธรรมเนียม 50,000 บาท
2.กลางน้ำ
-แปรรูปสกัดสาร THC,CBD = ขอใบอนุญาต มีอายุ 3 ปี จ่ายค่าธรรมเนียม50,000 บาท
3.ปลายน้ำ
-ผลิตภัณฑ์ต่างๆ จากกัญชา = ขึ้นทะเบียน อย.
แต่เรื่องนี้ รศ.พญ.รัศมน กัลยาศิริ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาปัญหายาเสพติด (ศศก.) ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมองว่า ร่าง พ.ร.บ.กัญชาฯ เขียนอนุญาตให้มีเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม จะกลายเป็นการเอื้อให้เกิดการผูกขาด และสุดท้ายอาจกลายเป็นเอกชนรายใหญ่ที่เข้ามาฮุบวิสาหกิจชุมชนหรือไม่
ขณะที่ ประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ สภาเกษตรกรแห่งชาติ ตั้งข้อสังเกตว่าโครงสร้างที่รัฐออกแบบไว้เวลานี้ ยังไม่เอื้อต่อเกษตรกรรายย่อยให้สู้กับกลุ่มทุนได้ โดยแนะให้เร่งศึกษาแนวทาง หวั่นเกิดปัญหาซ้ำรอยพืชเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่สุดท้าย เกษตรกรไม่ได้ประโยชน์ และรัฐต้องเสียงบประมาณชดเชย
หนึ่งในข้อเสนอคือการสร้างความเข้มแข็งให้กับวิสาหกิจชุมชน ปลูกและแปรรูปได้เอง เพื่อตัดตอนการผูกขาดโดยคนกลาง แต่รัฐต้องให้ความสำคัญกับการส่งเสริมองค์ความรู้ เพื่อให้กัญชาเป็นพืชเศรษฐกิจฐานรากอย่างแท้จริง
ขณะเดียวกันก็ท้าทายอยู่พอสมควร หากปลูกได้เสรี กัญชาจะถูกจำกัดการใช้เพียงเฉพาะทางการแพทย์ได้หรือไม่ เพราะถ้าดูตามร่าง พ.ร.บ. กัญชา ทางเครือข่ายนักวิชาการด้านการเฝ้าระวังด้านนโยบาย มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ ก็พบช่องโหว่หรือการไม่ควบคุมสาร THC ไม่ให้เกิน 0.2% อีกทั้งยังเปิดช่องให้ใช้ในเชิงสันทนาการได้ ซึ่งแพทยสภาออกมาคัดค้านเรื่องนี้อย่างชัดเจน และขอให้ชะลอร่างกฎหมายกัญชาออกไปก่อน
เพราะฉะนั้นนอกจากความกังวลเรื่องการผูกขาดการปลูกแล้ว การใช้กัญชา เพื่อสันทนาการ ก็ยังคงมีข้อถกเถียง และเป็นอีกข้อกังวลของนโยบายกัญชาเสรี
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น