ภาษีความเค็ม มาแน่ปี 68 ดัดนิสัยคนไทยกินตามใจปาก | เก็บตกจากวชิรวิทย์

  • กรมสรรพสามิตเตรียมเก็บ "ภาษีความเค็ม" ในปี 2568 เริ่มจากขนมขบเคี้ยว หลังพบคนไทยบริโภคโซเดียมเกินมาตรฐานสากล 2 เท่า โดยใช้อัตราภาษีแบบขั้นบันได

  • ภาษีความเค็มจะส่งผลกระทบต่อสินค้าโซเดียมสูงมูลค่ากว่า 88,000 ล้านบาท โดยเฉพาะขนมขบเคี้ยว บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารแช่เย็น/แช่แข็ง และซอสปรุงรส ยกเว้นอาหารพื้นฐานที่จำเป็น

  • นอกจากมาตรการภาษี ยังมีการใช้แนวคิด "เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม" เช่น การจัดวางสินค้าสุขภาพในระดับสายตา และการให้แรงจูงใจทางภาษีแก่องค์กรที่ส่งเสริมสุขภาพพนักงาน​​​​​​​​​​​​​​​​ 



  • ปัจจุบันคนไทยบริโภคโซเดียมเกินมาตรฐานสากลถึง 2 เท่า ดังนั้นเพื่อสนับสนุนให้คนไทยบริโภคโซเดียมลดลง กรมสรรพสามิตจึงได้เตรียมเก็บภาษีโซเดียม หรือ “ภาษีความเค็ม” ซึ่งจะเป็นภาษีที่ต้องการมุ่งเน้นด้านสุขภาพประชาชนเป็นหลัก

     

    พฤติกรรมการบริโภคโซเดียมของคนไทย เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs และเป็นสาเหตุหลักในการเสียชีวิตของคนไทย ที่คิดเป็น 81% ของการเสียชีวิตทั้งหมด หรือมากกว่า 4 แสนรายต่อปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สร้างความสูญเสียทางเศรษฐศาสตร์ถึงประมาณ 1.6 ล้านล้านบาทต่อปี และจะยิ่งมีความสูญเสียเพิ่มมากขึ้นเพราะคนที่ป่วยด้วยโรค NCDs เริ่มมีช่วงอายุที่ต่ำลง

     

    ภายในปี 2568 นี้กรมสรรพสามิตจัดเก็บภาษีโซเดียม หรือ “ภาษีความเค็ม” ให้เห็นเป็นรูปธรรม โดยรูปแบบจะเป็นสัดส่วนอัตราภาษีขั้นบันได เช่นเดียวกันกับภาษีความหวาน ที่มีผลบังคับใช้แล้ว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาโดยจะเริ่มเก็บภาษีความเค็มจาก “ขนมขบเคี้ยว“ ซึ่งไม่ได้จำเป็นต่อการดำรงชีวิต

     

    ภาษีนี้มีเป้าหมายหลักในการส่งเสริมสุขภาพของประชาชน โดยการลดการบริโภคโซเดียม ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคต่าง ๆ เช่น ความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ

     

    สำหรับภาพรวมการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพสามิต ในปีงบประมาณ 2567  น.ส.กุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมสรรพสามิต ระบุว่าจัดเก็บได้ 532,600 ล้านบาท ขณะที่เป้าหมายการจัดเก็บตามเอกสารงบประมาณของ ปี 2568 อยู่ที่ 609,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ที่ 16%

     

    ภาษีความเค็มคืออะไร?

     

    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แนวคิดเรื่องการเก็บ “ภาษีความเค็ม” ได้ถูกพูดถึงในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อส่งเสริมสุขภาพของประชาชน ลดอัตราการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น โรคไต ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ ซึ่งล้วนมีความเกี่ยวข้องกับการบริโภคเกลือหรือโซเดียมในปริมาณที่เกินพอดี

     

    ภาษีความเค็ม เป็นมาตรการที่รัฐบาลอาจใช้ในการเก็บภาษีจากอาหารหรือผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณโซเดียมสูง เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขนมขบเคี้ยว อาหารแปรรูป และซอสปรุงรส แนวคิดนี้มักอ้างอิงจากมาตรการภาษีเพื่อสุขภาพอื่น ๆ เช่น ภาษีน้ำตาลในเครื่องดื่มที่มีรสหวาน

     

    เหตุผลที่ควรเก็บภาษีความเค็ม

    1. ลดปัญหาสุขภาพ

    คนไทยมีอัตราการบริโภคเกลือเฉลี่ยสูงถึงประมาณ 10 กรัมต่อวัน ซึ่งมากกว่าค่าที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำถึงสองเท่า การลดปริมาณโซเดียมในอาหารจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับโซเดียม

    2. ลดภาระทางเศรษฐกิจด้านสาธารณสุข

    โรคที่เกิดจากการบริโภคโซเดียมเกิน เช่น โรคไตวายและความดันโลหิตสูง สร้างภาระค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลให้กับระบบสาธารณสุข การเก็บภาษีสามารถช่วยลดการบริโภคและลดค่าใช้จ่ายทางสุขภาพในระยะยาว

    3. กระตุ้นให้ผู้ผลิตปรับสูตรอาหาร

    การเก็บภาษีอาจผลักดันให้ผู้ผลิตอาหารลดปริมาณโซเดียมในผลิตภัณฑ์ของตน ซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนได้รับอาหารที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้นโดยไม่ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค


    ข้อกังวลเกี่ยวกับภาษีความเค็ม

    1. ผลกระทบต่อกลุ่มผู้มีรายได้น้อย

    ภาษีนี้อาจทำให้อาหารแปรรูปซึ่งมีราคาถูกและเข้าถึงง่าย มีราคาสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้ที่มีรายได้น้อยเป็นหลัก

    2. ความท้าทายในการกำหนดมาตรฐาน

    การกำหนดว่าอาหารชนิดใดเข้าข่ายต้องเสียภาษี และการควบคุมดูแลอาจซับซ้อน โดยเฉพาะในอาหารท้องถิ่นหรืออาหารที่ผลิตเอง

    3. การต่อต้านจากอุตสาหกรรมอาหาร

    ผู้ผลิตอาหารอาจมองว่าภาษีนี้เป็นอุปสรรคทางธุรกิจและอาจพยายามวิ่งเต้นเพื่อต่อต้าน

    ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า กลุ่มสินค้าที่อาจเข้าข่ายมีปริมาณโซเดียมสูง (วัดจากปริมาณโซเดียมต่อหนึ่งบรรจุภัณฑ์จากการสำรวจสุ่มตัวอย่างสินค้าในตลาด) น่าจะมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ประมาณ 88,000 ล้านบาทในปี 2565 หรือคิดเป็น 18% ของมูลค่าตลาดอาหารสำเร็จรูปและกึ่งสำเร็จรูปทั้งหมด

    ในกรณีที่มีการจัดเก็บภาษีความเค็มในระยะข้างหน้า คาดว่ากลุ่มสินค้าที่จะได้รับผลกระทบเรียงตามลำดับ น่าจะได้แก่ ขนมขบเคี้ยว บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารแช่เย็น/แช่แข็ง โจ๊กกึ่งสำเร็จรูป อาหารปรุงสำเร็จ ปลากระป๋อง

     

    มีบทเรียนจากต่างประเทศ อย่างประเทศอย่างฮังการีและโปรตุเกสได้เริ่มใช้มาตรการคล้ายคลึงกัน เช่น การเก็บภาษีจากอาหารที่มีไขมัน น้ำตาล หรือเกลือสูง ผลการศึกษาพบว่ามาตรการเหล่านี้ช่วยลดการบริโภคอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพได้จริง แต่ต้องมีการรณรงค์ให้ความรู้ประชาชนควบคู่กัน

    สำหรับประเทศไทย นอกจากการเก็บภาษี ควรมีการรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงอันตรายของการบริโภคโซเดียมเกิน ช่วยเหลือผู้ผลิตรายย่อยในการปรับปรุงสูตรอาหารเพื่อให้มีปริมาณโซเดียมต่ำ ไปพร้อมๆกัน

     

    ภาษีความเค็มเก็บจากไหนบ้าง ?

    การเก็บภาษีความเค็มในประเทศไทยมุ่งเน้นสินค้าที่มีปริมาณโซเดียมสูง โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มอาหารแปรรูปและขนมที่ไม่ได้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต ตัวอย่างสินค้าเป้าหมายที่อาจอยู่ในขอบข่ายของการจัดเก็บภาษีความเค็ม ได้แก่

    สินค้าเป้าหมายของภาษีความเค็ม

    1. ขนมขบเคี้ยว

    • มันฝรั่งทอด
    • ข้าวเกรียบ
    • ขนมอบกรอบ

    2. บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

    • รวมถึงซุปและน้ำปรุงรสในบรรจุภัณฑ์สำเร็จรูป

    3. อาหารกระป๋องและอาหารแปรรูป

    • ปลากระป๋อง
    • เนื้อสัตว์แปรรูป เช่น ไส้กรอก แฮม เบคอน

    4. ซอสปรุงรส

    • ซีอิ๊ว
    • ซอสน้ำมันหอย
    • น้ำปลา

    5. อาหารกึ่งสำเร็จรูปพร้อมรับประทาน

    • อาหารกล่องแช่แข็ง
    • อาหารพร้อมรับประทานในร้านสะดวกซื้อ

    6. ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากนม

    •  ชีสที่มีปริมาณโซเดียมสูง

    ภาษีจะถูกกำหนดตามปริมาณโซเดียมในผลิตภัณฑ์ โดยใช้เกณฑ์ระดับที่กำหนด หากสินค้ามีปริมาณโซเดียมเกินเกณฑ์ จะต้องเสียภาษีในอัตราสูงขึ้น

    แต่ก็มีข้อยกเว้น สินค้าที่เป็นอาหารพื้นฐานหรือจำเป็นต่อการบริโภค เช่น เกลือแกงที่ใช้ในครัวเรือนทั่วไป อาจได้รับการยกเว้นจากการจัดเก็บภาษี

    มาตรการนี้จะเริ่มต้นด้วยกลุ่มสินค้าที่ง่ายต่อการตรวจสอบและควบคุม เช่น ขนมขบเคี้ยว ก่อนขยายไปยังสินค้าประเภทอื่นในอนาคต

     

    กระบวนการจัดเก็บภาษีความเค็ม

    กรมสรรพสามิตจะจัดเก็บภาษีความเค็มโดยกำหนดให้ ผู้ผลิต ผู้นำเข้า และผู้จำหน่ายสินค้า ที่เข้าข่ายต้องเสียภาษีเป็นผู้รับผิดชอบในการชำระภาษี ซึ่งกระบวนการจัดเก็บและการดำเนินการเบื้องต้นจะเป็นไปตามแนวทางดังนี้

    1. การกำหนดอัตราภาษี

    • กรมสรรพสามิตจะกำหนดเกณฑ์ระดับโซเดียมที่ถือว่า “เกินมาตรฐาน” ในผลิตภัณฑ์อาหารต่าง ๆ เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหรือซอสปรุงรส
    • หากสินค้าใดมีปริมาณโซเดียมเกินระดับที่กำหนด สินค้านั้นจะต้องเสียภาษีตามอัตราที่กำหนดไว้

    2. การเก็บจากผู้ผลิตและผู้นำเข้า

    ผู้ผลิตในประเทศ

    • ผู้ผลิตจะต้องยื่นรายการปริมาณโซเดียมในผลิตภัณฑ์ของตนต่อกรมสรรพสามิต
    • ภาษีจะถูกเรียกเก็บตามปริมาณโซเดียมในสินค้า

    ผู้นำเข้า

    • ผู้นำเข้าสินค้าประเภทอาหารที่มีโซเดียมสูงจะต้องแจ้งข้อมูลสินค้าให้กรมสรรพสามิตตรวจสอบ
    • ภาษีจะถูกเก็บในขั้นตอนการนำเข้าสินค้า

    3. การตรวจสอบและควบคุม

    • กรมสรรพสามิตจะร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงสาธารณสุข ในการตรวจสอบข้อมูลโภชนาการและปริมาณโซเดียมในผลิตภัณฑ์
    • อาจมีการจัดตั้งระบบตรวจสอบผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม เช่น การสุ่มตรวจสินค้าในท้องตลาด

    4. การยื่นและชำระภาษี

    • ผู้ผลิตและผู้นำเข้าจะต้องยื่นรายการสินค้าและชำระภาษีรายเดือนหรือรายไตรมาส ตามระเบียบของกรมสรรพสามิต
    • การชำระภาษีสามารถทำได้ผ่านระบบออนไลน์หรือช่องทางที่กรมสรรพสามิตกำหนด

    5. บทลงโทษในกรณีหลีกเลี่ยงภาษี

    • หากพบว่ามีการหลีกเลี่ยงหรือปกปิดข้อมูล กรมสรรพสามิตจะดำเนินการปรับหรือดำเนินคดีตามกฎหมาย
     

    เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม

    การเก็บภาษีความเค็ม อาจเป็นหนึ่งในแนวทางที่ช่วยปรับพฤติกรรมประชาชนให้บริโภคเค็มน้อยลง ขณะที่มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ เมื่อวันที่ 5 ส.ค. 2567  ก็กล่าวถึงการนำหลักการใหม่อย่าง ‘เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม’ เข้ามาใช้ ที่ไม่ใช่การใช้ความรู้สึกหรือความเชื่อ แต่เป็นเรื่องของการใช้ข้อมูล แล้วนำไปสร้างการสะกิดง่ายๆ เพื่อให้คนมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป ตัวอย่างเช่น การวางผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพอยู่ในชั้นวางสินค้าระดับสายตา เพื่อให้คนรู้สึกเข้าถึงได้ง่าย ส่วนผลิตภัณฑ์ที่อันตรายสุขภาพก็หลบไว้ให้เข้าถึงได้ยาก 

     

    นพ.โสภณ เมฆธน ประธานกรรมการพัฒนานโยบายสาธารณะ ว่าด้วยการสานพลังสร้างสภาวะแวดล้อมทางกายภาพและสังคมเพื่อลดโรคไม่ติดต่อ คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ระบุว่า ‘กลไกการคลัง สามารถสร้างแรงจูงใจ เช่น หากหน่วยงาน องค์กร หรือบริษัทใดทำให้บุคลากรของตนสามารถลดน้ำหนัก หรือเกิดพฤติกรรมทางกาย อย่างการไปเข้าฟิตเนส แล้วเราจะให้แรงจูงใจทางภาษี หรือ Tax Incentive ได้หรือไม่

     

    ตลอดจนหลักการ ‘กลไกเครดิตทางสังคม’ ที่เราอาจเคยพูดถึงคาร์บอนเครดิตที่เป็นกลไกในแง่การลดโลกร้อน แต่การลด NCDs นี้อาจจะเป็นกลไกอย่างแคลอรี่เครดิต ซึ่งปัจจุบันมีแอปพลิเคชันที่ใช้งานในด้านนี้อยู่ หากมีการต่อยอดไปใช้วัดในระดับองค์กร จะกลายเป็นเครดิตหรือหลักทรัพย์ของบริษัทได้หรือไม่ ซึ่งแนวทางการสร้างแรงจูงใจเหล่านี้ คือสิ่งที่เราคิดออกมาเป็นแนวทางใหม่ๆ ที่จะช่วยให้การป้องกันและควบคุมโรค NCDs มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยนอกเหนือจากหลักการใหม่ๆ ที่นำมาเป็นแนวทางแล้ว มตินี้ยังได้ระบุถึงอีก 5 มาตรการหลักที่เป็นรูปธรรม ได้แก่ 

     
    1. ลดการเข้าถึงสินค้าทำลายสุขภาพ เช่น การจำกัดเวลาจำหน่ายและโฆษณาเหล้า บุหรี่
    2. ส่งเสริมการผลิตและเข้าถึงสินค้าที่ดีต่อสุขภาพ เช่น การนำสินค้าเหล่านี้ไปให้เข้าถึงได้ง่ายในโรงเรียน หรือศูนย์เด็กเล็ก
    3. สร้างสรรค์สิ่งแวดล้อม ที่เอื้อให้ประชาชนสามารถออกกำลังกายได้ง่าย ซึ่งเรื่องนี้อาจยังมีความเหลื่อมล้ำที่ทำได้ไม่เท่าเทียมกันในแต่ละจังหวัดอยู่
    4. สร้างความตระหนัก รอบรู้ เข้าถึงข้อมูลข่าวสาร เพื่อสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรคที่ถูกต้องและเหมาะสม
    5. เปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีโอกาสเข้ามามีประสบการณ์ ได้สัมผัสกับกิจกรรมเหล่านี้ อย่างการใช้งานแอปฯ แคลอรี่เครดิต

    ความคิดเห็น