6 ข่าวเด่น สาธารณสุข ปี 2567 | เก็บตกจากวชิรวิทย์

 


ปี 2567 นับเป็นอีกปีที่วงการสาธารณสุขไทย เผชิญกับความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ นอกจากการขยับจากนโยบาย “30 บาทรักษาทุกโรค” เป็น “30 บาทรักษาทุกที่” อย่างเต็มสูบแล้วยังเปลี่ยนตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จาก “นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว” สู่ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” ซึ่งเข้ามาสานต่อนโยบายเรือธงของพรรคเพื่อไทย พร้อมทั้งผลักดันโครงการและนโยบายสำคัญในหลายด้าน โดยเฉพาะประเด็นสุขภาพจิตและการแก้ไขปัญหายาเสพติด


“สมศักดิ์” ในบทบาทรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขยังได้พยายามผลักดันร่างกฎหมายสำคัญหลายฉบับเพื่อวางรากฐานสำหรับการแก้ไขปัญหาสาธารณสุขในอนาคต ตัวอย่างสำคัญได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติ ก.สธ. ซึ่งมีเป้าหมายในการแยกตัวบุคลากรทางการแพทย์ออกจากกรอบของ ก.พ. เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนบุคลากรสาธารณสุขที่สะสมมายาวนาน นอกจากนี้ ยังมีการผลักดัน การแก้ไข พ.ร.บ. สุขภาพจิต เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการดำเนินนโยบายด้านสุขภาพจิตและการจัดการปัญหายาเสพติด


อีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่สำคัญคือการจัดทำ ร่าง พ.ร.บ. อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ที่มุ่งให้ค่าตอบแทนและยกระดับบทบาทของอสม. ให้รองรับสังคมสูงวัยได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นการปูทางสำหรับการพัฒนางานด้านสุขภาพระดับชุมชนในระยะยาว


แต่นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายความเคลื่อนไหวในแวดวงสาธารณสุข ที่เกิดขึ้นปี 2567 #เก็บตกจากวชิรวิทย์ คัดเลือก 6 ข่าวเด่นสาธารณสุข ที่ได้รับการพูดถึงมากที่สุดในรอบปี 


1. 30 บาทรักษาทุกที่ กับ ปัญหาใบส่งตัว กทม. และ รพ.ขาดทุน 




นโยบาย “30 บาทรักษาทุกที่” ได้รับการขยายผลในกรุงเทพมหานคร (กทม.) และครอบคลุมทั้งประเทศในระยะสี่เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้ารับบริการสุขภาพขั้นพื้นฐานได้ทุกที่โดยไม่ต้องมีใบส่งตัว อย่างไรก็ตาม การดำเนินนโยบายนี้พบอุปสรรคหลายอย่างที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพการบริการและความยั่งยืนของสถานพยาบาล


ในเดือนกันยายน 2567 คลินิกชุมชนอบอุ่นในกทม. ประมาณ 200 แห่ง ประสบปัญหาการค้างจ่ายเงินจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ทำให้ขาดสภาพคล่องในการดำเนินงาน ส่งผลให้คลินิกเหล่านี้ไม่สามารถจ่ายยาให้ผู้ป่วยโรคเรื้อรังหรือออกใบส่งตัวได้ 


นอกจากนี้ โรงพยาบาลรัฐหลายแห่งยังเผชิญกับปัญหาการขาดทุนจากการลดงบประมาณผู้ป่วยใน จากเดิม 8,350 บาทต่อหน่วย เหลือ 7,000 บาทต่อหน่วย ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสามารถในการให้บริการและการรับส่งต่อผู้ป่วย 


แม้จะมีความพยายามในการแก้ไขปัญหา เช่น การจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมและการปรับปรุงระบบการส่งต่อผู้ป่วย แต่ปัญหาด้านการเงินและการบริหารจัดการยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อความสำเร็จของนโยบาย “30 บาทรักษาทุกที่” โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีโรงพยาบาลหลายสังกัดและมีระบบสาธารณสุขที่ซับซ้อนกว่าต่างจังหวัด


2. ดราม่าสาธารณสุขชายแดน 




พื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา โดยเฉพาะอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เผชิญกับความท้าทายด้านสาธารณสุขอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากเหตุการณ์สู้รบในเมียนมาตั้งแต่ต้นปี ส่งผลให้มีผู้อพยพหนีภัยเข้ามายังฝั่งไทยเป็นจำนวนมาก ทำให้ระบบสาธารณสุขในพื้นที่ต้องรับภาระหนักในการดูแลสุขภาพของผู้อพยพเหล่านี้ 


ในช่วงปลายปี ประเด็นการให้บริการสาธารณสุขแก่แรงงานต่างด้าวกลายเป็นที่ถกเถียงในสังคม โดยเฉพาะกรณีหญิงตั้งครรภ์จากเมียนมาที่เข้ามาคลอดบุตรในโรงพยาบาลไทย ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับสิทธิการรักษาพยาบาลและภาระค่าใช้จ่ายที่โรงพยาบาลต้องแบกรับ กระทรวงสาธารณสุขได้ชี้แจงว่า แรงงานต่างด้าวที่เข้ารับการรักษาในไทยจะต้องมีค่าใช้จ่าย ยกเว้นใน 3 กลุ่ม ได้แก่ บุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ (สิทธิ ท.99) แรงงานที่อยู่ในระบบประกันสังคม และผู้ที่ซื้อประกันสุขภาพ 


นอกจากนี้ ในเดือนธันวาคม มีรายงานการระบาดของอหิวาตกโรคในพื้นที่เมืองชเวโก๊กก่ก ประเทศเมียนมากว่า 300 ราย โดยพบผู้ป่วย 4 รายที่โรงพยาบาลแม่สอด สถานการณ์นี้สร้างความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคจากฝั่งเมียนมาสู่ไทย ทำให้หน่วยงานสาธารณสุขต้องเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจคัดกรองและป้องกันการลักลอบข้ามแดน 


สถานการณ์เหล่านี้สะท้อนถึงความซับซ้อนของปัญหาสาธารณสุขในพื้นที่ชายแดน ที่ต้องเผชิญกับทั้งปัญหาการอพยพของประชากร การจัดการสิทธิการรักษาพยาบาลของแรงงานต่างด้าว และการป้องกันการระบาดของโรคติดต่อ การแก้ไขปัญหาเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วนเพื่อให้การบริการสาธารณสุขในพื้นที่ชายแดนมีประสิทธิภาพและยั่งยืน


3. กัญชา นโยบายสุขภาพในมือนักการเมือง




นโยบายเกี่ยวกับกัญชา เปลี่ยนแปลงหลายครั้ง เริ่มจากเดือนพฤษภาคม เมื่อรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน มีแนวคิดที่จะนำกัญชากลับไปจัดเป็นยาเสพติดประเภท 5 อีกครั้ง โดยมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการแก้ไขประกาศกระทรวง เพื่อควบคุมการใช้กัญชาให้จำกัดเฉพาะด้านการแพทย์และสุขภาพเท่านั้น 


อย่างไรก็ตาม ในเดือนกรกฎาคม นายกรัฐมนตรีเศรษฐาได้ปรับเปลี่ยนนโยบาย โดยไม่ดึงกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด แต่เน้นการออกพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กัญชา กัญชง เพื่อควบคุมการใช้กัญชาอย่างเหมาะสม การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นภายใต้แรงกดดันจากพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทยที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นหัวหน้าพรรค 


ต่อมาในเดือนกันยายน เมื่อรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร เข้ารับตำแหน่ง นโยบายเกี่ยวกับกัญชายังคงเน้นการควบคุมการใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์และสุขภาพ โดยเตรียมผลักดัน พ.ร.บ. ควบคุมการใช้กัญชา เพื่อให้การใช้กัญชาเป็นไปอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ 


การเปลี่ยนแปลงนโยบายเกี่ยวกับกัญชาในปีนี้สะท้อนถึงความซับซ้อนและความท้าทายในการกำหนดทิศทางการใช้กัญชาในประเทศไทย ทั้งนี้ การตัดสินใจของรัฐบาลได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัย รวมถึงแรงกดดันจากพรรคร่วมรัฐบาลและความคิดเห็นของประชาชน การออกกฎหมายควบคุมการใช้กัญชาอย่างเหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้การใช้กัญชาเป็นไปเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และสุขภาพอย่างแท้จริง


4. ยาบ้า 1 เม็ดเป็นผู้เสพ สธ.แบกงานสุขภาพจิต ยาเสพติด หลังแอ่น 



นโยบายเกี่ยวกับการครอบครองยาบ้า มีการปรับเปลี่ยนหลายครั้ง เดือนกุมภาพันธ์ 2567 กระทรวงสาธารณสุขได้ออกกฎกระทรวงกำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษที่สันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ โดยกำหนดให้การครอบครองยาบ้าไม่เกิน 5 เม็ด ถือว่าเป็นผู้เสพ ซึ่งจะถูกส่งเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษาแทนการดำเนินคดีอาญา 


อย่างไรก็ตาม ในเดือนมิถุนายน 2567 รัฐบาลได้พิจารณาแก้ไขกฎกระทรวงดังกล่าว โดยลดจำนวนการครอบครองยาบ้าที่ถือว่าเป็นผู้เสพจาก 5 เม็ด เหลือเพียง 1 เม็ด เพื่อเพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของยาเสพติด 


การปรับเปลี่ยนนโยบายนี้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากหลายฝ่าย ทั้งในแง่ของความเหมาะสมและผลกระทบต่อผู้เสพและสังคม โดยมีการถกเถียงถึงประสิทธิภาพของการลดจำนวนเม็ดยาบ้าที่กำหนด และผลกระทบต่อกระบวนการบำบัดรักษาผู้เสพยาเสพติด


นโยบายการครอบครองยาบ้าในประเทศไทยยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวมีผลต่อการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และการแก้ไขปัญหายาเสพติดในระยะยาว


ในส่วนของความพยายามที่จะเสริมสร้างการดูแลสุขภาพจิตและการบำบัดยาเสพติด รัฐบาลได้จัดตั้ง “มินิธัญญารักษ์” ในโรงพยาบาลชุมชน ซึ่งเป็นสถานบำบัดยาเสพติดระดับชุมชนที่มุ่งให้การดูแลผู้ป่วยจิตเวชและผู้ติดยาเสพติดอย่างครบวงจร โครงการนี้ได้รับการติดตามและประเมินคุณภาพมาตรฐานตามเกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด 


นอกจากนี้ โครงการ “ชุมชนล้อมรักษ์” ได้ถูกนำมาใช้เพื่อบำบัดรักษาผู้ป่วยจิตเวชที่มีปัญหายาเสพติด โดยมีการดำเนินงานในหลายพื้นที่ เช่น จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “Quick Win” ที่มุ่งเน้นการบูรณาการการทำงานร่วมกับชุมชนและหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ป่วยกลับสู่ชีวิตที่ดีขึ้น 


อย่างไรก็ตาม ปัญหาการขาดแคลนพยาบาลจิตเวชยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญในการให้บริการ โดยเฉพาะในโรงพยาบาลชุมชน ที่มีการตั้งกลุ่มงานจิตเวชและยาเสพติดขึ้นมาใหม่ แต่บุคลากรทางการแพทย์ยังไม่เพียงพอที่จะรองรับความต้องการในการรักษา 


นอกจากนี้ ยังมีเหตุการณ์ที่สร้างความกังวลเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยจิตเวชและผู้ติดสุรา เช่น กรณีที่เจ้าหน้าที่ทำร้ายผู้ป่วยติดสุราในโรงพยาบาลจนเสียชีวิต ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นในการพัฒนานโยบายและการจัดการด้านสุขภาพจิตและยาเสพติดในประเทศไทยอย่างเร่งด่วน


5. ศึก 2 วิชาชีพ แพทย์-เภสัช กรณีร้านยาจ่ายยาเจ็บป่วยเล็กน้อย 



ความขัดแย้งระหว่างสองวิชาชีพ คือ แพทย์และเภสัชกร เกี่ยวกับโครงการที่ให้ร้านขายยาจ่ายยาสำหรับอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย 16 อาการ ซึ่งดำเนินการโดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพ ลดความแออัดในโรงพยาบาล และให้ประชาชนสามารถรับยาที่ร้านขายยาใกล้บ้านได้ 


อย่างไรก็ตาม แพทยสภาได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองในเดือนพฤศจิกายน 2567 เพื่อขอให้ยุติโครงการดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่าการจ่ายยาโดยเภสัชกรโดยไม่มีการวินิจฉัยจากแพทย์อาจเสี่ยงต่อความปลอดภัยของผู้ป่วย 


ขณะที่สภาเภสัชกรรมได้ออกมาแถลงการณ์ชี้แจงว่า การดำเนินโครงการนี้เป็นไปตามกฎหมายและมาตรฐานวิชาชีพ โดยเภสัชกรจะประเมินอาการของผู้ป่วย และหากพบความเสี่ยงจะส่งต่อให้แพทย์ดูแลต่อไป 


ขณะนี้ ศาลปกครองได้รับคำฟ้องของแพทยสภาแล้ว แต่ยังไม่มีคำสั่งให้ยุติโครงการ ดังนั้น ประชาชนยังสามารถรับยาที่ร้านขายยาในโครงการได้ตามปกติ จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยเป็นอย่างอื่น 


ความขัดแย้งระหว่างสองวิชาชีพนี้สะท้อนถึงความจำเป็นในการปรับปรุงการทำงานร่วมกัน เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการสุขภาพที่มีคุณภาพและปลอดภัยที่สุด


6. มะเร็งรักษา (ไม่) ทุกที่ ต่อสู้โรค NCDs เป็นวาระชาติ 




ในเดือนธันวาคม สปสช. ได้ประกาศปรับเงื่อนไขการเบิกจ่ายในโครงการ “มะเร็งรักษาทุกที่” ให้เบิกจ่ายได้เฉพาะค่ายาเคมีบำบัดการฉายรังสีและฮอร์โมนเท่านั้น ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 แต่นั่นก็ ทำให้โรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์ เริ่มออกแนวปฏิบัติให้ผู้ป่วยต้องมีใบส่งตัวจากหน่วยบริการตามสิทธิก่อนเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่มีศักยภาพสูง การเปลี่ยนแปลงนี้สร้างความกังวลในหมู่ผู้ป่วยและหน่วยบริการ เนื่องจากอาจเพิ่มความยุ่งยากและล่าช้าในการเข้าถึงการรักษา 


จากเสียงวิพากษ์วิจารณ์และความกังวลที่เกิดขึ้น สปสช. ได้ตัดสินใจชะลอการบังคับใช้ประกาศฉบับใหม่ และยังคงใช้หลักเกณฑ์เดิมที่ไม่ต้องใช้ใบส่งตัวในการรับบริการรักษามะเร็ง พร้อมทั้งตั้งคณะทำงานร่วมกับหน่วยบริการต่าง ๆ เพื่อหาทางออกที่เหมาะสมภายในระยะเวลา 3 เดือน 


ในขณะเดียวกัน สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขยอมรับว่าค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่มีที่ต้องเสียไปกับโรคติดต่อเรื้อรังมีเป็นจำนวนมาก ในไทยมีผู้ป่วยโรคติดต่อเรื้อรังกว่า 14 ล้านคนโดยเฉพาะโรคมะเร็งมีค่าใช้จ่ายเกือบ 10,000 ล้านบาทต่อปี


กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จัดทำแผนปฏิบัติการด้านการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อของประเทศไทย พ.ศ. 2566 – 2570 เพื่อกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์ในการลดอัตราการเกิดโรค NCDs ในประชากร 


นอกจากนี้ สธ. ยังได้ดำเนินโครงการรณรงค์ “คนไทยห่างไกล NCDs” โดยปักหมุด 6 จุดทั่วประเทศ เพื่อสร้างความตระหนักรู้และส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของประชาชน มุ่งเน้นการลดปัจจัยเสี่ยงที่นำไปสู่การเกิดโรค NCDs เช่น การลดการบริโภคเกลือและโซเดียม การส่งเสริมการออกกำลังกาย และการลดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 

ความคิดเห็น