การเมืองไม่นิ่ง “นโยบายสาธารณสุข” ยังไงต่อ? | เก็บตกจากวชิรวิทย์
ในห้วงระยะเวลาเกือบหนึ่งปีของ ”รัฐบาลเศรษฐา“ กระทรวงสาธารณสุขเปลี่ยนรัฐมนตรีว่าการมาแล้ว 2 คน
คนแรก “นพ.ชนน่าน ศรีแก้ว” อยู่ในตำแหน่ง 7 เดือน ก็ถูกปรับออกจาก ครม. ส่วน “นายสมศักดิ์ เทพสุทิน” ดำรงตำแหน่งอยู่ได้เพียง 4 เดือน เมื่อ “นายเศรษฐา ทวีสิน” พ้นจากความเป็นนายกรัฐมนตรี เวลานี้นายสมศักดิ์ จึงอยู่ในฐานะ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ไปจนกว่าจะได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ และมีการฟรอม ครม.ขึ้นมาอีกครั้ง
![]() |
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว |
![]() |
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน |
ปฎิเสธไม่ได้ว่า “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข” คือตำแหน่งสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณสุข ยุค นพ.ชลน่าน มีการแก้กฎกระทรวงยาบ้าห้าเม็ด แต่ต่อมาหลังพ้นไปจาก ครม. ไป นายสมศักดิ์ มารับช่วงต่อก็ปรับมาเหลือหนึ่งเม็ด เพื่อลดกระแสสังคม
เช่นเดียวกับนโยบายกัญชา ช่วงแรก นพ.ชลน่าน ก็เห็นด้วยที่จะเป็นทำเป็นร่างกฎหมาย แต่เมื่อนายสมศักดิ์มารับช่วงต่อ ก็ยืนยันเดินหน้าให้กัญชากลับไปเป็นยาเสพติด แต่ในที่สุดกระแสการเมืองพรรคร่วม อย่างพรรคภูมิใจไทย ส่งผลให้ นายเศรษฐา ต้องกลับลำ มาเดินหน้า ร่าง พรบ.กัญชาอีกครั้ง
นายสมศักดิ์ ก็เคยเปรยกับสื่อว่า กฎหมายจะผ่านไปได้ ก็ต่อเมื่อการเมืองนิ่ง “ถ้าการเมืองมีความมั่นคงพร้อมกัน กฎหมายมันก็เดินไปได้” สมศักดิ์ กล่าว
ทว่ายังมีอีกหลายนโยบายจากยุครัฐมนตรีชลน่าน ที่ได้รับการสานต่อมาถึงในยุครัฐมนตรีสมศักดิ์ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขยังอยู่ในมือของพรรคเพื่อไทย ทั้งในเรื่องของมินิธัญญารักษณ์ บำบัดผู้ป่วยจิตเวชในโรงพยาบาลชุมชน แยกข้าราชการกระทรวงสาธารณสุขออกมาจากก.พ. ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า เพียงไม่กี่เดือน นายสมศักดิ์ก็ขับเคลื่อนนโยบายสาธารณสุขผ่านการร่างเป็นร่างกฎหมายอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเคยเป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมมาก่อน
ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขมีร่างกฎหมายสำคัญอยู่ 3 ฉบับ
1. ร่าง พ.ร.บ.อสม.
2. ร่าง พ.ร.บ. ข้าราชการกระทรวงสาธารณสุข
3 ร่างพ.ร.บ.สุขภาพจิต ซึ่งทั้งสามฉบับ เพิ่งนับหนึ่งเริ่มต้นเท่านั้น
ยังไม่นับรวม “แผนยุทธศาสตร์เพิ่มกำลังคนสาธารณสุข” ที่จะเพิ่มหมอและพยาบาลนับแสนคนภายใน 10 ปีที่เพิ่งผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีชุดนี้ และจะต้องใช้วงเงินถึง 3.8 แสนล้านบาทด้วย
ขณะที่ “30 บาทรักษาทุกที่” นโยบายเรือธงของพรรคเพื่อไทย ก็เคยถูกตั้งข้อสังเกตว่า เพราะ นพ.ชลน่าน เอาข้าราชการไม่อยู่ จึงถูกปรับออกจากครม. แต่เมื่อ สมศักดิ์ เทพสุทิน เข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
แม้ผิวเผินมองว่านโยบายรักษาทุกที่ มีการขยายจากเฟสหนึ่ง ไปเฟสสอง และสาม โดยพยายามย้ำภาพความสำเร็จนี้ตั้งแต่ยุค ”ทักษิณ ชินวัตร“ เป็นนายกรัฐมนตรี และย้ำภาพ ”แพทองธาร ชินวัตร“ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ลงพื้นที่เปิดตัวนโยบาย
แต่หากมองลึกลงไปในแวดวงสาธารณสุข มีคลื่นใต้น้ำ มีการถกเถียงกันอย่างมากระหว่างคณะแพทย์ กับ สปสช. ซึ่งเป็นฝ่ายข้าราชการที่ต้อง ขับเคลื่อนนโยบายจากฝ่ายการเมือง
“รักษาทุกที่แล้วไปที่ไหนก็ได้ อาจจะผิดตั้งแต่คนติดกระดุมเม็ดแรกที่ต้องให้ข้อมูลที่ถูกต้อง อันนี้พรรคการเมืองหาเสียง ส่วนงานวิจัยที่บอกว่ารักษาทุกที่ไม่ได้เพิ่มแออัดโรงพยาบาลใหญ่ไม่จริง” รศ.นพ.สุรศักดิ์ ลีลาอุดมลิปิ ประธานกรรมการอำนวยการโรงพยาบาลในกลุ่มสถาบันแพทย์แห่งประเทศไทย
”ยุค 30 บาทรักษาทุกโรค ก็มีกลุ่มหมอคัดค้านใส่ปลอกดำ เราก็ผ่านช่วงเวลานั้นมาแล้ว ไม่ว่านโยบายการเมืองมาอย่างไร อยากให้มองเป็นโอกาส ผมในฐานะเลขา สปสช. ผมคิดว่า 30 บาทรักษาทุกที่ ก็พูดทุกครั้งว่าไม่ได้ให้คนไข้ไปโรงพยาบาลใหญ่ ตรงกันข้ามต้องไปโรงพยาบาลลดลง แต่จะไม่บังคับให้ไปขึ้นทะเบียนกับหน่วยบริการใกล้บ้าน“ นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช.
ต้องยอมรับว่า ปัญหาหลักของนโยบายรักษาทุกที่ อยู่ที่งบประมาณ และนิยามหลักการระบบสุขภาพที่ควรเป็น จริงอยู่รักษาทุกโรคทำได้ แต่หากจะรักษาทุกที่นั้น อาจจะต้องขอเป็นแค่หน่วยบริการปฐมภูมิ ซึ่งเรื่องนี้นายสมศักดิ์เอง ก็ยังคงแก้ปัญหาใบส่งตัวในกทม. ตามที่ผู้ป่วยเรียกร้องไม่ได้ ไม่ได้
หากแคนดิเดตนายกรัฐมนตรียังมาจากพรรคเพื่อไทย ก็เชื่อแน่ว่านโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่คงจะเดินหน้าต่อไปแม้ยังคงมีข้อถกเถียงให้ต้องทำความเข้าใจกัน โดยกำหนดการ kickoff รักษาทุกที่ กทม. ในวันที่ 26 สิงหาคมนี้ แพทองธาร ชินวัตร จะเดินทางมาร่วมยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง
แต่หากนายกรัฐมนตรีคนใหม่ จะมีการปรับเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จะยังเป็น นายสมศักดิ์ อยู่หรือไม่ยังคงต้องลุ้น แต่ที่ไม่ต้องลุ้น คือหากพรรคเพื่อไทยยังเป็นพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล คงจะไม่ปล่อยกระทรวงสาธารณสุขไปอย่างแน่นอน.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น