ย้อนรอยนโยบายกัญชา จากปลดล็อกกลับสู่ยาเสพติด | เก็บตกจากวชิรวิทย์
หลังปลดล็อกออกจากบัญชียาเสพติดมาเพียง 2 ปี “รัฐบาลเศรษฐา” กำลังจะนำ “กัญชา” กลับไปเป็นยาเสพติดอีกครั้ง แม้ว่าจะมี “พรรคภูมิใจไทย” ตัวตึงผลักดันกัญชาพ้นบัญชียาเสพติดในสมัย “รัฐบาลพลเอกประยุทธ์” จะอยู่ร่วมรัฐบาลชุดนี้ด้วยก็ตาม
กระแสเรียกร้องให้ปลดล็อกกัญชาออกจากบัญชียาเสพติด เกิดขึ้นหลังปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. ตรวจยึดต้นกัญชา และแจ้งจับ นายเดชา ศิริภัทร ผู้อำนวยการมูลนิธิข้าวขวัญ จ.สุพรรณบุรี เมื่อเดือนเมษายน ปี 2562
สังคมรู้จัก “อาจารย์เดชา” ในนามนักเคลื่อนไหวด้านเกษตรกรรมยั่งยืน และผู้บุกเบิกเกษตรกรรมทางเลือก ซึ่งเริ่มสนใจศึกษาศาสตร์ของกัญชาในฐานะตัวยารักษาโรคอย่างจริงจังตั้งแต่ปี 2556 หลังแม่และคนในครอบครัวเสียชีวิตด้วยมะเร็งตับ เขาผลิตน้ำมันกัญชาเพื่อแจกจ่ายให้กับผู้ป่วยมะเร็ง และผู้ป่วยที่ดูแลแบบประคับประคอง แบบใต้ดินมานานหลายปี จนกระทั่งเกิดกระแส #saveเดชา
การเลือกตั้งครั้งใหญ่เมื่อปี 2562 พรรคภูมิใจไทยเสนอนโยบายปลดล็อคกัญชาออกจากบัญชียาเสพติด อนุญาตให้ปลูกกัญชาได้บ้านละ 6 ต้น พร้อมสัญญาประชาคม ที่จะทำให้กัญชาเป็นพืชเศรษฐกิจ ที่แก้ทั้งความเจ็บป่วย และความยากจนไปพร้อมกัน
หลังการเลือกตั้งพรรคภูมิใจไทย เป็นพรรคร่วมรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล ขอเก้าอี้กระทรวงสาธารณสุข เพื่อขับเคลื่อนนโยบายกัญชาโดยเฉพาะ ในระหว่างที่กัญชายังเป็นยาเสพติด มีช่วงการนิรโทษกรรม 90 วัน ที่เปิดโอกาสให้ผู้ครอบครองกัญชาทางการแพทย์ยื่นจดแจ้งโดยไม่ต้องรับโทษ นายอนุทิน ย้ำว่าการปลดล็อคกัญชาจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และเป็นพืชพืชเศรษฐกิจ โดยไม่เกี่ยวกับการนันทนาการ
นับแต่ปี 2564 เรื่อยมา มีความพยายามในการร่างพระราชบัญญัติกัญชงกัญชา ในวาระแรกกฎหมายฉบับนี้ได้รับเสียงข้างมากจากทางพรรครัฐบาลและพรรคฝ่ายค้าน แต่มาสะดุดลงในวาระที่สองเมื่อพรรคร่วมรัฐบาลเองก็เห็นต่าง ทำให้เกิดกรณีสภาล่มหลายครั้ง จนร่างกฎหมายยังคงค้างอยู่ในสภาฯ
ในช่วงเวลาที่ กฎหมายควบคุมกัญชายังไม่ผ่านสภา นายอนุทิน ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ก็เซ็นอนุมัติประกาศกระทรวง ให้กัญชาออกจากบัญชียาเสพติดโดยมีผลเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2565
หลังจากนั้นเกิดภาวะสุญญากาศกัญชา ร้านค้ารายย่อย หรือ แคนนาบิส ช็อป ขายช่อดอกเพื่อนันทนาการอย่างเปิดเผย ไม่ถูกจับกุม อาหาร-เครืองดื่มผสมกัญชาขายอย่างไร้การควบคุม จนสังคมเริ่มตั้งคำถามว่า นี่เป็นการปลดล็อคกัญชา ตรงตามเจตนารมย์เดิม เพื่อการแพทย์หรือไม่
สถิติของศูนย์ศึกษาปัญหายาเสพติด คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุงานวิจัย เยาวชนสูบกัญชาเพิ่ม 10 เท่า หลังปลดล็อคกัญชาออกจากบัญชียาเสพติด ขณะที่กระทรวงสาธารณสุข ออกประกาศ 2 ฉบับห้ามสูบในที่สาธารณะและห้ามจำหน่ายช่อดอกแก่เยาวชน แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งการผุดขึ้นของร้านแคนนาบิสช็อป พบการนำเข้ากัญชาจากประเทศเพื่อนอย่างผิดกฎหมาย
เครือข่ายอาจารย์แพทย์หลายคนเริ่มส่งเสียงเตือนภาวะสุญญากาศกัญชา ที่น่าห่วงที่สุดคือส่งผลกระทบต่อเยาวชน และมีข้อสังเกตว่าผู้ป่วยจากการใช้กัญชาทั้งจากการสูบ การกิน สูงขึ้นสามเท่า ที่ต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล นี่กลายเป็นดาบที่ย้อนกลับมาทิ่มแทง นโยบายกัญชาของพรรคภูมิใจไทย ที่ได้รับเสียงตอบรับดีในช่วงแรก
กระแสตีกลับ ไม่เลือกพรรคชูกัญชา
ก่อนเลือกตั้งปี 2566 ไม่กี่เดือน นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เปิดแคมเปญรณรงค์ให้คนไม่เลือกพรรคที่มีนโยบายกัญชาเสรี ในขณะที่จุดยืนของหลายพรรคสนับสนุนกัญชาทางการแพทย์ กระทั่งบันทึกข้อตกลงการจัดตั้งรัฐบาลก้าวไกล ปรากฏข้อที่ 16 ต้องการดึงกัญชากลับไปขึ้นบัญชียาเสพติด โดยให้มีกฎหมายควบคุมและรองรับการใช้ประโยชน์จากกัญชา ทำให้สถานะของ กัญชา กลายเป็นข้อถกเถียงในสังคมอีกครั้ง
หลังจากที่พรรคก้าวไกลไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ กระทั่งพรรคเพื่อไทยมาเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ในยุคของ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ก็ยังไม่มีแนวคิดที่จะนำกัญชากลับสู่บัญชียาเสพติด แต่มีความคืบหน้าในการผลักผลักดันร่างพระราชบัญญัติควบคุมกัญชา ฉบับกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งห้ามใช้เชิงสันทนาการ
หลังการปรับครม.เศรษฐา 1/1 เปลี่ยนตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็น นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ก็ประกาศชัดเจนว่าจะดึงกัญชากลับไปอยู่ในบัญชียาเสพติด พร้อมๆกับ การแก้กฎกระทรวงยาบ้า 5 เม็ดเหลือ 1 เม็ด เพื่อลดกระแสสังคมที่ต่อต้านทั้งยาบ้าและกัญชา มีการรับฟังความคิดเห็นในช่วงเดือนพฤษภาคม 2567 จากเครือข่ายแพทย์-นักวิชาการหลายครั้ง มีการนำเสนอข้อมูลเชิงผลกระทบจากการปลดล็อกกัญชาออกจากบัญชียาเสพติดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จนนำมาสู่การตัดสินใจ ร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข เพื่อนำกัญชากลับไปเป็นพืชยาเสพติดแบบอ่อน ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นของการนำกัญชาเข้าสู่บัญชียาเสพติดอย่างเป็นทางการในต้นปี 2568
ทางแยก “กฎหมาย” ควบคุมกัญชา
เครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย ซึ่งมีจุดยืนคัดค้านกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด เข้าพบกับ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขไม่ต่ำกว่าสองครั้ง เพื่อยืนยันให้ใช้ร่างพระราชบัญญัติควบคุมกัญชาที่ร่างเสร็จเรียบร้อยแล้วในสมัยนายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว ในการควบคุมมากกว่าที่จะกลับไปใช้กฎหมายยาเสพติดอีกครั้ง
ขณะที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะผู้เคยผลักดันนโยบายกัญชา บอกว่า เครื่องมือที่จะทำให้การควบคุมมีประสิทธิภาพสูงสุด ก็คือการออก พ.ร.บ.กัญชากัญชง ที่เคยพยายามผลักดัน หากรัฐบาลจะผลักดันอีกครั้งในรอบนี้ก็คงจะผ่าน
แต่หากกลับเป็นยาเสพติด ผู้ประกอบการที่เริ่มลงทุนเปิดตลาดไปแล้ว และชาวบ้านที่ใช้รักษาตัวตามภูมิปัญญาดั้งเดิมอยู่ก็จะได้รับผลกระทบ
แต่อย่างไรก็ตาม นายสมศักดิ์ ยืนยันว่าตามหน้าที่ ย้ำว่ากัญชาเป็นยาเสพติดไม่กระทบการแพทย์ โดยที่ต้องเอาไปเป็นยาเสพติดเพราะกระบวนการจัดทำ พ.ร.บ.กัญชา ยังต้องใช้เวลา เพราะประมวลกฎหมายยาเสพติด ต้องทำกฎหมายอื่นให้เสร็จ ภายใน 2 ปี แต่ขณะนี้เลยมาแล้ว ต้องขอสภาฯต่อเวลาอีก 2 ปี ซึ่งจะครบในเดือน พ.ย.นี้
ในนามกระทรวงสาธารณสุข ต้องทำไม่ให้เกิดความวุ่นวายเสียหาย
ซึ่งเร็วสุดคือ การประกาศกฎกระทรวง เป็นแนวทางยาเสพติด
แบบอ่อนๆ และเขียนใช้ทางการแพทย์ โดยไม่ได้ตัดสิทธิประชาชนทำกฎหมาย พ.ร.บ.กัญชาฯ ซึ่งถ้าทำจบ ประกาศกระทรวงก็ตกไป
”ถ้าท่านทำ พ.ร.บ. กัญชา หากผ่านสภาฯ พ.ร.บ.มีศักดิ์ใหญ่กว่าประกาศกระทรวงก็ตกไป แต่ท่านจะมาบังคับไม่ให้ผมออกประกาศกระทรวงไม่ได้ และผมก็ไม่สามารถห้ามท่านไม่ให้เดินหน้า พ.ร.บ.กัญชา ไม่ได้“
สมศักดิ์ เทพสุทิน
การควบคุมกัญชาภายใต้ประมวลกฎหมายยาเสพติดและพระราชบัญญัติกัญชามีความแตกต่างกัน ทั้งในด้านโครงสร้างกฎหมายและการบังคับใช้ ดังนี้
ประมวลกฎหมายยาเสพติด
1. ประเภทของยาเสพติด: กัญชาถูกจัดอยู่ในบัญชียาเสพติดประเภท 5 ซึ่งห้ามการครอบครอง ใช้ และจำหน่าย ยกเว้นการใช้ในทางการแพทย์และการวิจัยที่ได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเท่านั้น
2. การบังคับใช้กฎหมาย: การครอบครองหรือใช้กัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาตจะมีโทษตามกฎหมาย ซึ่งรวมถึงโทษจำคุกและปรับ
3. การปลูกและผลิต: การปลูกและผลิตกัญชาเพื่อใช้ในทางการแพทย์และการวิจัยต้องได้รับอนุญาตจากหน่วยงานรัฐและอยู่ภายใต้การควบคุมที่เข้มงวด
พระราชบัญญัติกัญชา
1. ประเภทของสาร: กัญชาถูกปลดล็อกจากบัญชียาเสพติดประเภท 5 ทำให้การครอบครอง ใช้ และจำหน่ายสามารถทำได้ภายใต้เงื่อนไขและข้อกำหนดที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติกัญชา
2. การควบคุมการใช้: การใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ การวิจัย และการใช้ในครัวเรือนเป็นไปได้อย่างเสรีมากขึ้น แต่ยังคงมีการกำหนดเงื่อนไขและข้อจำกัดเพื่อป้องกันการใช้ที่ไม่เหมาะสม
3. การปลูกและผลิต: การปลูกกัญชาเพื่อใช้ในครัวเรือนสามารถทำได้โดยไม่ต้องขออนุญาต แต่ต้องแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามที่กฎหมายกำหนด ในกรณีของการปลูกเพื่อการค้า ต้องได้รับอนุญาตและปฏิบัติตามข้อกำหนดที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติกัญชา
ความแตกต่างหลัก
- โครงสร้างกฎหมาย: ประมวลกฎหมายยาเสพติดเป็นกฎหมายที่ควบคุมสารเสพติดทั้งหมดในภาพรวม ขณะที่พระราชบัญญัติกัญชาเป็นกฎหมายเฉพาะที่ควบคุมการใช้กัญชาและกัญชงโดยเฉพาะ
- ระดับการควบคุม: ภายใต้ประมวลกฎหมายยาเสพติด การใช้และครอบครองกัญชาเป็นสิ่งผิดกฎหมายยกเว้นในกรณีที่ได้รับอนุญาต ขณะที่ภายใต้พระราชบัญญัติกัญชา การใช้และครอบครองกัญชาถูกผ่อนคลายมากขึ้น แต่ยังคงมีข้อกำหนดเพื่อป้องกันการใช้ในทางที่ผิด
- การบังคับใช้: การบังคับใช้ภายใต้ประมวลกฎหมายยาเสพติดมีโทษที่เข้มงวดและเน้นการควบคุมที่เข้มงวด ขณะที่พระราชบัญญัติกัญชาเน้นการควบคุมที่ยืดหยุ่นและส่งเสริมการใช้กัญชาในทางที่เป็นประโยชน์
สรุปคือ ภายใต้พระราชบัญญัติกัญชา การใช้และครอบครองกัญชาถูกผ่อนคลายมากขึ้น และมีการควบคุมที่เฉพาะเจาะจงกว่าเมื่อเทียบกับการควบคุมภายใต้ประมวลกฎหมายยาเสพติด.
ไทม์ไลน์กัญชา
ปี 2562
มี.ค. - พรรคภูมิใจไทย ชู “นโยบายกัญชาเสรี” สู้ศึกเลือกตั้งปี 62
เม.ย - ปปส.จับอาจารย์เดชา มีกัญชาไว้ในครอง
ก.ค. - อนุทิน เป็น รัฐมนตรีสาธารณสุข
ปี 2565
9 มิ.ย. - ปลดล็อกกัญชาออกจากบัญชียาเสพติด
ปี 2566
ก.พ. - ร่าง พ.ร.บ.กัญชาฯ ไม่ผ่านสถา
พ.ค. - MOU จัดตั้งรัฐบาล ดึงกัญชาเป็นยาเสพติด หลังเลือกตั้งปี 66
ปี 2567
ม.ค. - นพ.ชลน่าน ลงนามร่าง พ.ร.บ.กัญชาฉบับใหม่ ควบคุมใช้ทางการแพทย์และสุขภาพ ห้ามสันทนาการ เสนอ ครม.
8 พ.ค. - นายกเศรษฐาฯ สั่งดึงกัญชากลับเป็นยาเสพติด ใน 90 วัน
25 มิ.ย.- ปิดรับฟังความคิดเห็นประกาศกระทรวงสาธารณสุข กำหนดกัญชาเป็นพืชเสพติด
/////
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น