กว่าจะได้นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 | เก็บตกจากวชิรวิทย์
เลือกตั้ง 66 จุดเปลี่ยนการเมืองไทย กับกติกาซับซ้อนของ รัฐธรรมนูญ’60
นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 อาจไม่ใช่ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” จากพรรคก้าวไกลซึ่งได้รับคะแนนเสียงเป็นอันดับหนึ่ง แม้พรรคเพื่อไทยซึ่งครั้งนี้กลายเป็นพรรคที่ได้คะแนนอับดับ 2 หลังชนะการเลือกตั้งมาหลายครั้งยืนยันไม่จัดตั้งรัฐบาลแข่ง แต่ก็ยังไม่หมดโอกาสที่จะได้นายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย หากพรรคอันดับ 1 อย่างก้าวไกลไม่สามารถรวมเสียงโหวตนายกรัฐมนตรีได้ถึง 376 เสียง ขณะที่สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) เป็นอีกตัวแปรสำคัญที่ไม่ได้ปิดโอกาสในการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย
อนาคตทางการเมืองของประเทศไทยในห้วงเวลา 3 เดือนจากนี้ จึงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน #เก็บตกจากวชิรวิทย์ ชวนทบทวนกระบวนการขั้นตอน การเลือกนายกรัฐมนตรี กับทางเลือกที่เราจะเดินไป
วันที่ 14 พ.ค. 2566 หลังปิดหีบหย่อนบัตรเลือกตั้งกับจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์ 75% ทั้งประเทศมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รายงานผลการนับคะแนนเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ พรรคก้าวไกล ได้อันดับ1 ทั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขต และปาร์ตี้ลิสต์ ตามมาด้วยพรรคเพื่อไทย ที่จำนวนเก้าอี้ไม่ห่างกันมาก
เมื่อ กกต.ได้ตรวจสอบเบื้องต้นแล้วว่า ผลการเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม และมีจํานวนไม่น้อยกว่า 95% ของเขตเลือกตั้งทั้งหมด ก็ต้องประกาศผลการเลือกตั้งโดยเร็ว แต่ต้องไม่ช้ากว่า 60 วันนับแต่วันเลือกตั้ง ดังนั้น กกต.มีเวลาการประกาศรับรองผลไปจนถึง 13 ก.ค.นี้
หลังการรับรองผลการเลือกตั้งทั่วไปแล้ว รัฐธรรมนูญมาตรา 121 กำหนดว่าภายใน 15 วัน ให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรก เพื่อเปิดประชุมสภา เลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร
จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการเลือกนายกรัฐมนตรีและตั้งรัฐบาลชุดใหม่ คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงเดือน ส.ค.นี้ โดยจะเรียกประชุมรัฐสภา ประกอบด้วย ส.ส. จำนวน500 คน และ ส.ว.จำนวน 250 คน ตามมาตรา 272 วรรคแรก ซึ่งต้องได้เสียงสนับสนุนไม่ต่ำกว่าครึ่งหนึ่ง หรือไม่น้อยกว่า 376 เสียง
ที่น่าติดตาม คือ รัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดระยะเวลาในการเลือกนายกรัฐมนตรีและการตั้งคณะรัฐมนตรีไว้แต่อย่างใด ซึ่งจะทำให้รัฐบาลชุดเก่ารักษาการต่อจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่
หากไม่มีอะไรผิดพลาดหรือยืดเยื้อ รัฐบาลชุดปัจจุบันจะยังคงรักษาการต่อไปอีกประมาณ 3 เดือนหลังจากนี้ จนกว่าจะมีรัฐบาลชุดใหม่ และนำชื่อคณะรัฐมนตรีทูลเกล้าฯ และ ครม.ชุดใหม่ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับตำแหน่ง คาดว่าจะเกิดขึ้นประมาณ เดือน ส.ค.2566
ทว่าการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีที่ต้องใช้เสียงจากทั้งส.ส. และ ส.ว 750 เสียงให้เกินครึ่งนั้น ขณะนี้พรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นพรรคอันดับหนึ่งได้สิทธิในการจัดตั้งรัฐบาลก่อน ได้รวมเสียง ส.ส.จาก 5 พรรค ได้แก่ เพื่อไทย ประชาชาติ ไทยสร้างไทย เสรีรวมไทย และเป็นธรรม ได้ 310 เสียงพร้อมจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากแต่ยังจำเป็นต้องได้รับเสียงโหวตนายกรัฐมนตรีจาก ส.ว.อีก 66 เสียง จึงจะได้นายพิธา เป็นนายกฯ
ซึ่งหาก ส.ว. ไม่โหวตให้ นักวิเคราะห์การเมือง รวมถึง ส.ว. บางคนก็แนะนำให้พรรคก้าวไกลหาเสียงจาก ส.ส. พรรคไม่ได้ร่วมรัฐบาลโหวตให้โดยไม่ต้องพึงส.ว. โดยอาจเจรจากับ พรรคภูมิใจไทยที่ได้ ส.ส.อยู่ 70 เสียง หรือ จากส.ส.พรรคอื่นๆ รวมกันให้ครบ 376 เสียง ในจำนวนนี้อาจมี ส.ว.ที่แสดงจุดยืนว่าจะโหวตเลือกนายกฯ ตามคะแนนเสียงจากประชาชน พรรคก้าวไกลก็จะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้
แต่หากพรรคก้าวไกลไม่สามารถรวมเสียง ส.ส.ได้ครบ 376 และไม่สามารถพึ่งพาเสียงจาก ส.ว. ได้ พรรคที่ได้คะแนนอันดับ 2 นั่นคือ “เพื่อไทย” ก็จะมีสิทธิในการจัดตั้งรัฐบาล โดยเพื่อไทยอาจรวมเสียง ส.ส. ได้ 273 จาก 5 พรรค ได้แก่ภูมิใจไทย พลังประชารัฐ ประชาชาติ ชาติไทยพัฒนา ชาติพัฒนากล้า ทั้งนี้ พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งมี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นหัวหน้าพรรคมีความสามารถทำให้การเติมเสียงโหวตนายกรัฐมนตรี จากฝั่ง ส.ว. ได้อีกอย่างน้อย103 เสียงจนครบ 376 เสียงเกินครึ่งหนึ่ง เพื่อไทย ก็สามารถจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากได้เช่นกัน
ขณะที่ ส.ว. ซึ่งมีที่มาจาก คสช. ยังเป็นโอกาสสำหรับการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ซึ่งประกอบไปด้วยพรรครัฐบาลเดิม ได้แก่ ภูมิใจไทย พลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ ประชาธิปัตย์ ชาติไทยพัฒนา ชาติพัฒนากล้า รวมกัน 183 เสียงและอาศัยเสียงจาก ส.ว.อีก 193 เสียง ก็จะครบ 376 เสียงได้นายกรัฐมนตรีจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย แต่เต็มไปด้วยความเสี่ยง และไม่มั่นคง และต้องอาศัยการซื้อเสียงจาก ส.ส.ฝ่ายค้าน (งูเห่า) โหวตร่างกฎหมายต่างๆ
ด่านแรกหลังการจัดตั้งรัฐบาล คือการจัดทำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณประจำปีจำเป็นต้องใช้เสียงจาก ส.ส. ในสภา 500 เสียงเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับ ส.ว. โหวตให้เกินครึ่งหนึ่งจึงจะผ่านร่าง พ.ร.บ.งบประมาณได้ ซึ่งหากสภาโหวตร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ไม่ผ่าน รัฐบาลก็จะบริหารประเทศต่อไปไม่ได้ เมื่อถึงทางตัน ก็ต้องยุบสภาเลือกตั้งใหม่
ขณะเดียวกัน ย้ำอีกครั้งว่า รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ไม่ได้กำหนดระยะเวลาในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี นั่นหมายความว่า รัฐบาลรักษาการ โดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะสามารถทำหน้าที่รัฐบาลรักษาการต่อไปได้เรื่อยๆจนกว่าจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้
#เก็บตกจากวชิรวิทย์
#เลือกตั้ง66
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น