เก็บตกจากวชิรวิทย์ | พลิกปมข่าว ตอน "ถอดบทเรียนพื้นที่ระบาด สู่ ภูมิคุ้มกันหมู่"
เป็นอีกครั้งที่มีการปรับแผนกระจายวัคซีน covid-19 ที่ยังมีอยู่จำกัด เฉพาะวัคซีนซิโนแวค เกือบ 3 ล้านโดส และของแอสตราเซเนกา ประมาณ 1แสน 7 หมื่นนำเข้ามา ก่อนล็อตใหญ่เดือนมิถุนายนนี้
วัคซีนเหล่านี้เป็นวัคซีนฉุกเฉินที่ถูกนำมาใช้ ตัดวงจรระบาดในพื้นที่ที่เป็นคัตเตอร์ใหญ่ ในช่วงเดือนที่ผ่านมา วัคซีนถูกใช้ไปอย่างน้อย 3 คัตเตอร์ระบาดในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทั้งบางแค ทองหล่อและล่าสุดที่ชุมชนคลองเตย
ปฏิเสธไม่ได้ว่า การเปลี่ยนแผนกระจายวัคซีนอย่างทุกครั้ง ย่อมส่งผลกระทบต่อแผนวัคซีนเดิมที่เคยวางเอาไว้ เช่นที่จังหวัดสมุทรสาคร มีการตัดโควตาวัคซีนออกไป ขณะเดียวกันจังหวัดภูเก็ต ที่ต้องเร่งฉีดวัคซีน ก่อนนำร่องเปิดประเทศ 1 กรกฎาคมนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะได้รับวัคซีนที่เหลือหรือไม่
การจัดสรรวัคซีน covid19 จังหวัดสมุทรสาคร ตามแผนเดือนกุมภาพันธ์จะได้รับวัคซีนซิโนแวค 3 รอบรวม 230,000 โดส แต่ปัจจุบันได้รับจัดสรรรวมเพียงหนึ่ง 177,840 โดส เท่านั้น
ปัจจุบันจังหวัดสมุทรสาคร เฉพาะประชากรไทยที่อายุ 18 ปีขึ้นไป ได้รับวัคซีนแล้ว 105,083 คน คิดเป็น 12.48% ซึ่งในพื้นที่ ยังมีแรงงานต่างด้าวเป็นประชากรแฝง หากต้องฉีดวัคซีนให้ครบ 70% เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ต้องฉีดครอบคลุมไปด้วย
และขณะเดียวกันพบว่า การฉีดวัคซีนแบบสมัครใจนั้น แม้บุคลากรทางการแพทย์จะฉีดได้ถึง 93 เปอร์เซ็นต์ แต่กับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หรืออสม. กลับได้ต่ำกว่าเป้าหมายเพียง 54 เปอร์เซ็นต์ อาจเป็นอุปสรรคในการกระจายวัคซีน ที่ต้องเร่งสื่อสารทำความเข้าใจโดยอาศัยผู้นำชุมชน
สวนทางกับจังหวัดภูเก็ต ที่พึ่งพาการท่องเที่ยวเป็นหลัก ประชาชนมีความต้องการฉีดวัคซีน เพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้า โดยเฉพาะโครงการภูเก็ต sandbox ที่จะเปิดรับนักท่องเที่ยว 1 กรกฎาคมนี้ หมายความว่าต้องปิดจ๊อบ การฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชากร 70 เปอร์เซ็นต์ ภายในกลางเดือนมิถุนายน
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวชิระภูเก็ตเปิดเผยว่า จังหวัดภูเก็ตสามารถ ฉีดวัคซีนได้สูงสุดถึงวันละ 15,000 คนต่อวัน ซึ่งไม่ยากที่จะ ทำตามแผนฉีดวัคซีนให้ครอบคลุม ประชากร 70% ของจังหวัดแต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะได้วัคซีนที่เหลือมาทันก่อน กลางเดือนมิถุนายนนี้ หรือไม่
ปัจจุบันรัฐบาลกำลังเผชิญกับโจทย์หลายด้านในการกระจายวัคซีน หนึ่ง คือ การจัดหาวัคซีนล่าช้าเกินไปหรือไม่ และไม่กระจายความเสี่ยง มีวัคซีนให้เลือกเพียง 2 ชนิดคือ ซิโนแวค และแอสตราเซเนกา และสอง โจทย์ที่ตามมาคือความมั่นใจของประชาชนต่อประสิทธิภาพของวัคซีนที่มีสามารถป้องกันโรคได้มากน้อยเพียงใด เมื่อเทียบกับยี่ห้ออื่น และผลข้างเคียงที่จะตามมาปลอดภัยมากน้อยแค่ไหน
เรื่องนี้ ศาสตราจารย์นายแพทย์ยงภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์ไวรัสวิทยาคลินิก จุฬาฯ พูดชัดเจนว่า วัคซีนซิโนแวด และ แอสตราเซเนกา สามารถสร้างภูมิต้านทานหลังฉีดวัคซีนไปแล้วเมื่อเทียบกับการติดเชื้อตามธรรมชาติ
โดย astrazeneca เพียงเข็มเดียวก็สามารถสร้างภูมิต้านทานหลังฉีดไป 1 เดือน ถึง 98% ขณะที่ ซิโนแวคหลังฉีด 2 เข็ม 1 เดือนกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ถึง 99.4 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าประสิทธิภาพไม่ได้แย่ไปกว่าวัคซีนไฟเซอร์ อย่างที่เรียกร้องกัน
ขณะที่ศาสตราจารย์แพทย์หญิงกุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยคลินิกคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล บอกว่าอัตราการเกิดอันตรายจากภาวะลิ่มเลือดหลังฉีดแอสตร้าเซนเนก้า ซึ่งเป็นล็อตใหญ่ของไทย เทียบกับโอกาสการเข้า ICU ถือว่าต่างกันมาก และการฉีดวัคซีนมีประโยชน์กว่า
หากดูตามกราฟฟิกนี้จะพบว่า ด้านซ้ายคือโอกาสที่จะเข้า ICU ในกลุ่มที่อายุ 60 ปีขึ้นไป มีโอกาสเข้า ICU 127 ต่อ 1 แสนคน ในขณะที่โอกาส เกิดอันตรายจากการฉีดวัคซีนมีเพียง 0.2 ต่อ 1 แสนคนเท่านั้น
นาทีนี้ต้องยอมรับว่าวัคซีนที่ดีที่สุดคือวัคซีนที่มาเร็วที่สุด นายแพทย์โสภณเมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ย้ำชัดว่าเป้าหมาย การสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในประเทศคือคนไทยจะได้รับวัคซีน 50 ล้านคนในภายในสิ้นปี 2564 และการจัดหาวัคซีนทางเลือกเพิ่ม แต่การตัดสินใจจัดหาวัคซีนตอนนี้ขึ้นอยู่กับว่าใครจะส่งมอบวัคซีนได้เร็วที่สุดเพื่อนำมาฉีดให้ทันต่อสถานการณ์ตอนนี้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น