เก็บตกจากวชิรวิทย์ | พลิกปมข่าว ตอน "ระยะสั้นล็อกดาวน์ ระยะยาววัคซีน"

แม้นายกรัฐมนตรีจะเรียกความเชื่อมั่นว่าจะ ทำทุกทางเพื่อผ่านวิกฤต โดยเตรียมความพร้อมทั้งการเพิ่มเตียง และการจัดหาวัคซีนเพิ่ม เร่งสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ก่อนสิ้นปีนี้ แต่ก่อนจะถึงจุดนั้นแพทย์หลายคนเริ่มเห็นตรงกันว่าการระบาดรอบนี้เอาไม่อยู่ และวัคซีนยังไม่ใช่ทางออกเฉพาะหน้า สิ่งที่ต้องทำขณะนี้คือกลับไปใช้วิธีดั้งเดิม นั่นคือการ ล็อกดาวน์อย่างจริงจัง 

ถ้าอัตราการติดเชื้อยังคงอยู่ในระดับ 1-2 พัน การใช้เตียงก็จะเพิ่มจำนวนตามไปด้วย ตัวเลข ณ วันที่ 25 เม.ย. 2564 มีผู้ครองเตียงไปแล้ว 24,207 เตียง ทำให้เหลือเตียงว่างเพียง 16,317 เตียง เมื่อจะต้องมีผู้เข้ารับการรักษาใหม่วันละกว่าพันคน เฉลี่ยดูแล้ว คาดการณ์ว่าเตียงจะเต็มในอีก 9 วัน 

น.พ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา ฉายภาพให้เห็นวิกฤตของระบบสาธารณสุข และเสนอว่ารัฐควรตัดสินใจยกระดับมาตรการควบคุมโรคทันที 

น.พ.เฉลิมชัย ไม่ใช่แพทย์คนแรกที่เสนอให้รัฐยกระดับมาตรการ แต่ก่อนนี้ น.พ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล นายกสมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย และ พล.อ.ท.อนุตตร จิตตินันทน์ ประธานราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย ออกมายืนยันผ่านเฟซบุ๊กว่า สถานการณ์โรคโควิด-19 รอบนี้อาจเอาไม่อยู่ 

แต่การแถลงข่าวของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีที่ผ่านมา ยันยืนจะไม่ใช้มาตรการล็อกดาวน์ เนื่องจากส่งกระทบทางเศรษฐกิจสูง  แต่ก็เปิดทางให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ละพื้นที่ประกาศเคอร์ฟิวได้

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการระบาดรอบแรกเมื่อปี 2563 รัฐบาลประกาศล็อกดาวน์และเคอร์ฟิวทำให้ควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อลงจนกลายเป็น 0 ในเดือนกรกฎาคม แต่ก็ต้องมาพร้อมมาตรการเยียวยา และการกู้เงิน 1 ล้านล้าน

นักเศรษฐศาสตร์มองว่าการระบาดรอบนี้อาจต้องทำเช่นเดียวกัน เวิร์คฟอร์มโฮมร้อยเปอร์เซ็นต์ ล็อกดาวน์อย่างเต็มที่ แค่ปิดสถานบันเทิงนั้นไม่มีประโยชน์ เพราะเชื้อได้แพร่กระจายไปแล้ว จะต้องปิดอย่างอื่นที่จำเป็นร่วมด้วย และต้องเยียวยาไปพร้อมกัน

ด้านกลุ่มนักระบาดวิทยา ประเมินว่าการระบาดระลอกสามนี้จะต้องใช้เวลาราว 2เดือนจึงจะคลี่คลายลง แต่นั่นอยู่บนเงื่อนไขที่ว่ามีการล็อกดาวน์เต็มที่ แต่หากปล่อยไว้จนเกิดภาวะล่มสลาย การระบาดในไทยก็จะไม่มีจุดจบ

แม้วัคซีนอาจยังไม่ใช่ทางออกสำหรับการระบาดรอบนี้​ แต่คำถามสำคัญก็คือแผนการจัดหาวัคซีนล่าช้าเกินไปไม่ทันกับสถานการณ์หรือไม่ เรื่องนี้ประธานคณะอนุกรรมการอำนวยการให้วัคซีนป้องกัน covid 19 ยอมรับว่าพูดยากและเห็นใจคนตัดสินใจในตอนนั้น​ แต่ถึงวันนี้ต้องเดินหน้าต่อ​ และตั้งเป้าฉีดให้เกิดภูมิคุ้มกันหมูเร็วที่สุด ขณะที่ภาคเอกชนเข้ามาช่วยแบ่งกลุ่มฉีดลูกจ้างที่อายุ 20​ -​ 40 ปีส่วนรัฐก็จะฉีดให้กับกลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป บุคลากรทางการแพทย์ กลุ่มเสี่ยงโรคประจำตัวอยากให้ช่วยกันไปพร้อมกันทั้ง 2 ทาง

สำหรับแผนกระจายวัคซีน ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคมรวมกว่า​ 3,600,000 โดส 

สัดส่วนการฉีดวัคซีนมุ่งเน้นไปที่บุคลากรทางการแพทย์ ถึง 50% รองลงมาเป็นประชาชนในพื้นที่เสี่ยง 28%

 ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการฉีดวัคซีนคือ 1. เพื่อรักษาระบบสาธารณสุขให้สามารถเดินต่อไปได้​ มี​บุคลากรทางการแพทย์ในการรักษาไม่ติดเชื้อเพิ่ม 2.​ ลดอัตราการป่วยการตาย​ การเข้าห้องไอซียู​ และ 3.​ ขับเคลื่อนพื้นที่เศรษฐกิจ

แต่ทั้งนี้นายแพทย์โสภณยอมรับว่าขึ้นอยู่กับสถานการณ์​ โดยช่วงเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม วัคซีน astrazeneca ที่ผลิตในไทย รวมจำนวน 16 ล้านโด๊สตั้งเป้าจะฉีดให้กับกลุ่มผู้สูงอายุ​ ขณะเดียวกันก็มองไปที่กลุ่มเป้าหมายเฉพาะ เช่น​ ครู​ พ่อค้าแม่ค้าในตลาดสด​ และกลุ่ม​พื้นที่เฉพาะ เพื่อให้สอดรับกับนโยบายวัคซีนพาสปอร์ตที่ยังคงเดินหน้าตามแผนตั้งเป้าจะเปิดประเทศในวันที่ 1 ตุลาคมนี้​ แต่อาจไม่สามารถเปิดได้ทั้งประเทศ​ อาจพิจารณาเป็นจังหวัดไปที่ได้รับวัคซีนเกิน​ 70%  

แม้วัคซีนดูเหมือนเป็นทางออก​ แต่วัคซีน  สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกายได้ยาวนานเท่าไหร่ยังไม่มีใครรู้ คาดว่าเป็น​  6​ เดือน​ หรือ​ 1​ ปี​ จำเป็นต้องศึกษาต่อไปเพื่อวางแผนการจัดซื้อวัคซีนวัดใหม่ในอนาคต


ความคิดเห็น