เก็บตกจากวชิรวิทย์ | พลิกปมข่าว ตอน "ราคาแพง ทะเบียนแรงงาน"
เมื่อแรงงานข้ามชาติในสมุทรสาคร เป็นกลุ่มใหญ่ที่ติดเชื้อโควิด-19 ก็มีความจำเป็นที่จะต้องนำแรงงานผิดกฎหมายทั้งหมดเข้าระบบ เพื่อติดตามควบคุมโรค เป็นที่มาของข้อเสนอ นิรโทษกรรมแรงงานข้ามชาติ จนถึงตอนนี้กระทรวงแรงงาน เปิดให้แรงงานทุกประเภทไม่ว่าจะถูก หรือผิดกฎหมาย ขึ้นทะเบียนออนไลน์ แต่ กระบวนการนี้ต้องแลกมาด้วยค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง สุดท้ายความพยายามดึงพวกเขาเข้าสู่ระบบอาจไม่เป็นจริงนัก
ภายหลัง ครม.เห็นชอบผ่อนผันให้คนต่างด้าวกลุ่มผิดกฎหมาย 3 สัญชาติ ได้แก่ เมียนมา กัมพูชา และลาว อยู่ในราชอาณาจักร และทำงานอย่างถูกต้องเป็นกรณีพิเศษ 2 ปี ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กำหนดให้แจ้งบัญชีรายชื่อต่างด้าว ผ่านระบบออนไลน์ที่เว็บไซต์ e-workpermit.doe.go.th ระหว่าง 15 ม.ค.-13 ก.พ. วันแรกวันเดียว มียอดเพียง 9 พันคน แบ่งเป็นแรงงานที่มีนายจ้าง 8,061 คน และไม่มีนายจ้าง 1,000 คน จากที่คาดว่ามีแรงงานผิดกฎหมาย หลุดระบบ 4 แสนคน และ แรงงานไม่มีเอกสาร ที่มีอยู่ในไทยไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน
ที่มาขึ้นทะเบียนกันน้อย เพราะการขึ้นทะเบียนแรงงานข้ามชาติ มีค่าใช้จ่ายรวมแล้วกว่า 9,000 บาทแบ่งเป็นค่า work permit 1,900 บาท ค่าตรวจสุขภาพอีก 3,200 บาท และค่าตรวจ covid ที่เพิ่มเข้ามาอีก 3,000 บาท ขณะที่สิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไปคือการตรวจหาเชื้อเชิงรุก
ตั้งเป้าตรวจ 1 หมื่นโรงงานสมุทรสาครภายในเดือนม.ค.
โรงงาน 600 แห่ง คือเป้าหมายรายวัน ของทีมสอบสวนโรค กระทรวงสาธารณสุข ที่ต้องตรวจคัดแยกแรงงานข้ามชาติ ที่ติดเชื้อโควิค 19 จากกว่า 10,000โรงงานในจังหวัดสมุทรสาคร
การติดเชื้อ ที่สมุทรสาคร ยังคงน่าเป็นห่วง เพราะเจ้าหน้าที่ยอมรับว่าา เข้าไปตรวจยาก เนื่องจากมีข้อจำกัดหลายอย่าง โดยเฉพาะบุคคลการสาธารณสุข แต่คาดว่าจะตรวจครบทั้ง 10,000 โรงงานภายในสิ้นเดือนนี้ เพื่อจัดการกับโรคได้เร็วมากขึ้น
สิ่งที่ทำควบคู่กันไปกับการตรวจเชื้อเชิงรุกคือ คือการเปิดให้แรงงานข้ามข้ามทั้งถูกและผิดกฎหมาย ลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์
แต่ ท่ามกลางการระบาดของโควิด 19 รอบใหม่ ความเงียบเหงายังคงปกคลุมทั่วจังหวัดสมุทีสาคร สถานประกอบการหลายแห่ง หยุดดำเนินประกอบธุรกิจชั่วคราว แรงงานข้ามชาติจำนวนไม่น้อยต้องตกงาน และไม่มีเงินมากพอต่อค่าใช้จ่ายในการการลงทะเบียนแรงงานข้ามชาติ กรณีพิเศษ เพื่อการคุมโรค
นี่ ตอกย้ำว่า สถานการณ์โรคระบาดเช่นนี้ ควรปรับลดค่าใช้จ่ายขึ้นทะเบียน เพื่อช่วยเหลือแรงงานผิดกฎหมาย ผู้เป็นส่วนขับเคลื่อน เศรษฐกิจและภาคอุตสาหกรรมไทยที่ไม่เคยได้รับ เยียวยาผลกระทบโควิด-19
เรื่องนี้เป็นโจทย์ให้ หน่วยงานภาครัฐ พิจารณาอย่างถี่ถ้วน เพื่อให้แรงงานผิดกฎหมายมีช่องทางขึ้นทะเบียนได้ง่าย ในการปรับลดค่าใช้จ่าย ขึ้นทะเบียนนี้ให้สอดคล้องปัญหาแรงงานที่กำลังเผชิญอยู่ เพื่อสร้างให้เกิดเป็นแรงจูงใจในมิติของการคุ้มครองทางสังคมแรงงานข้ามชาติ ในการแก้ปัญหาขบวนการขนแรงงานเถื่อนให้หมดไป
เสนอรัฐลด-ผ่อน ค่าขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าว
นักวิจัยสมทบ หน่วยปฏิบัติการวิจัยความมั่นคงของมนุษย์และความเท่าเทียม สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เสนอว่าควรตัดค่าใช้จ่ายบางส่วนออกไป เช่น ค่าตรวจโควิด 19 หรือไม่ก็ ใช้งบประมาณจากกองทุนบริหารจัดการแรงงานต่างด้าว กองทุนประกันสังคม ที่แรงงานเหล่านี้จ่ายเงินสมทบอยู่แล้ว หรือใช้วิธีผ่อนจ่ายแทน
นักวิจัยสมทบรายนี้ ตั้งข้อสังเกตว่า รายงานการใช้จ่ายของกองทุนบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวในปี 2563 ที่เก็บเงินค่าหลักประกันให้กับแรงงานข้ามชาติจากผู้ประกอบการ หัวละ 1,000 บาท จำนวนกว่า 900 ล้านบาท ในจำนวนนี้ 600 ล้านบาทถูกใช้ ไปในส่วนกรมการจัดหางาน ส่วนที่เหลือใช้ไปในส่วนของตำรวจตรวจคนเข้าเมืองและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่กลับไม่พบว่า มีการนำมาใช้ในการจัดการกลุ่มแรงงานข้ามชาติในช่วงสถานการณ์ covid-19 ทั้งๆที่เป็นเป้าหมายโดยตรงของกองทุนฯ
นอกจากนี้ยังมีเงินที่เก็บจากประกันสังคมของแรงงานข้ามชาติอีกเดือนละ 500 บาท ขณะนี้สะสมหลักหมื่นล้านบาทแล้ว ซึ่งเพียงพอที่จะใช้สำหรับการตรวจ covid 19 ในกลุ่มแรงงานข้ามชาติ
ส่วนข้อเสนอให้มีการฉีดวัคซีนในกลุ่มแรงงานข้ามชาติ เพื่อควบคุมการระบาดโดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครที่เป็นหนึ่งในคลัสเตอร์หลัก นักวิจัยแรงงานตั้งข้อสังเกตว่า แม้แผนการฉีดวัคซีนของกระทรวงสาธารณสุขจะระบุกลุ่มเสี่ยงที่ต้องฉีดวัคซีนเป็นผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเรื้อรัง และบุคลากรทางการแพทย์ แต่หากมองว่า แรงงานข้ามชาติคือกลุ่มเสี่ยง เมื่อต้องฉีดวัคซีน ก็ต้องพิจารณาในหลักการเดียวกัน แต่อาจแยกประเภทเฉพาะกลุ่มแรงงานข้ามชาติที่มีความเสี่ยงทั้งจากสภาพที่อยู่อาศัย และสภาพจากการทำงาน เพราะไม่ใช่แรงงานข้ามชาติทุกกลุ่มที่อยู่ในภาวะเสี่ยง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น