เก็บตกจากวชิรวิทย์ | 4 โมเดลฟื้นป่าน่าน "สิทธิทำกิน" VS "อนุรักษ์ป่าต้นน้ำ"
ในช่วงฤดูฝนหลายพื้นที่ในจังหวัดน่าน กลายเป็นพื้นที่เฝ้าระวังดินโคลนถล่มเนื่องจากมีลักษณะพื้นที่เป็นภูเขา และเมื่อเข้าสู่ช่วงปลายปีต่อต้นปีหน้า ก็จะเป็นช่วงเวลาที่ต้องเฝ้าระวังการเผาไร่ ซึ่งเป็นที่มาของ ฝุ่น PM 2.5 ปัญหาทั้งหมดเกิดจากการปลูกพืชเชิงเดี่ยว ของชาวบ้านมาเป็นเวลานาน จนมีสภาพเป็นภูเขาหัวโล้น ทุกวันนี้ก็ยังคงมีความพยายามในการแก้ไขปัญหากันอยู่
#เก็บตกจากวชิรวิทย์ ได้ลงไปดูวิธีการแก้ปัญหาภูเขาหัวโล้น ในจังหวัดน่าน อีกครั้งเป็นอย่างไรบ้าง
หลายแห่งมีความคืบหน้าไปมากหลังจากที่เริ่ม ให้ชาวบ้านปรับเปลี่ยนการปลูกพืชเชิงเดี่ยวมาปลูกพืชไม้ผลไม้ยืนต้นผสมผสาน ก็ทำให้พื้นที่สีเขียวมีเพิ่มมากขึ้นแต่ก็ต้องยอมรับว่า ยังมีมากกว่าค3รึ่งหนึ่งที่ยังเป็นไร่ข้าวโพดอยู่ซึ่งยังคงต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนผ่าน
ที่ตำบลน้ำพาง อำเภอแม่จริม จังหวัดน่าน ชาวบ้านที่นั่น พยายามแก้ไขปัญหาภูเขาหัวโล้นด้วยการจัดการตัวเอง เรียกว่า "น้ำพางโมเดล"
📌 น้ำพางโมเดล แก้ปัญหาภูเขาหัวโล้น จ.น่าน
3 ปีแล้วที่แปลงข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถูกแทนที่ด้วยต้นมะม่วงหิมพานต์ ช่วยเปลี่ยนพื้นที่ทำกินบางส่วน ของนายชิน เขื่อนจักร์ ชาวบ้าน ต.น้ำพาง จ.น่าน จากภูเขาหัวโล้นให้กลายพื้นที่สีเขียวอีกครั้ง
นอกจากไม้ผลยังมีพืชผักสวนครัว ที่เก็บกินเอง และขายได้อีกส่วนหนึ่ง หลังเริ่มลดการปลูกพืชเชิงเดี่ยว บนพื้นที่ 11 ไร่ อย่างค่อยเป็นค่อยไปปีละ 20% ก็เริ่มเห็นรายได้ที่มากกว่า
การปรับตัวของชาวบ้านกลุ่มนี้ เกิดจากแรงกดดันจากนโยบายทวงคืนผืนป่า ของ คสช. เมื่อปี 2557 เพราะสภาพที่ทำกิน ไม่มีเอกสารสิทธิ์อยู่ในพื้นที่ป่าสงวน มีลักษณะเป็นพื้นที่ลุ่มชั้น 1 และ 2 บนพื้นที่ลาดชัน
ในตำบลเดียวกันที่ ดินทำกินของชาวบ้านทั้งหมด ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ อยู่ในพื้นที่ที่ถูกประกาศแบ่งลำดับพื้นที่ลุ่มน้ำในภายหลัง แต่ทำเกษตรเชิงเดี่ยวมานานแล้ว
การแก้ปัญหา ด้วยนโยบายทวงคืนผืนป่า มีแต่จะสร้างความขัดแย้ง ความพยายามเปลี่ยนภูเขาหัวโล้นให้กลับมามีพื้นที่สีเขียวด้วยการปลูกไม้ผลทดแทนพืชเชิงเดี่ยว จึงเป็นที่มาของน้ำพางโมเดล ที่พยายามสะท้อนให้เห็นว่าการจัดการ ร่วมกัน สามารถฟื้นฟูป่าต้นน้ำได้อย่างสมดุล เดินคู่ไปทั้งการอนุรักษ์และสิทธิชุมชน
ปัจจุบันมีชาวบ้านจำนวน 285 ราย ที่เข้าร่วมสมาชิกน้ำพางโมเดล จากชาวบ้านในตำบลทั้งหมดกว่า 5,000 คน
ในปี 2565 จะสามารถเพิ่มพื้นที่สีเขียวในแปลงสมาชิกได้ 4,253 ไร่ หลังจากนั้นมีเป้าหมายเพิ่มพื้นที่สีเขียวในตำบลน้ำพางให้ได้ปีละ 1,000 ไร่นั่นหมายความว่าในปี 2575 ตำบลน้ำพางพื้นที่สีเขียวเพิ่มขึ้น 14, 000 ไร่รวมไม่น้อยกว่า 96 % ของพื้นที่
📌 เปรียบเทียบ 4 โมเดลแก้ภูเขาหัวโล้น จ.น่าน
น้ำพางโมเดล ไม่ใช่โมเดลแรก สำหรับการแก้ไขปัญหาภูเขาหัวโล้น จังหวัดน่าน ตลอดเวลาเกือบ 5 ปีที่ผ่านมา หลายหน่วยงานคิดโมเดลเพื่อแก้ไขปัญหานี้ในรูปแบบที่ต่างกันออกไป จะลองเปรียบเทียบดูทีละ โมเดล
เริ่มจาก น่านแซนด์บ็อกซ์ หน่วยงานที่ขับเคลื่อนหลังคือ มูลนิธิรักษ์ป่าน่าน ธนาคารกสิกรไทย ของ นายบัณฑูร ล่ำซำ ลักษณะเด่น คือเป็นโครงการที่ร่วมมือกับภาครัฐอย่างจริงจัง ทำพื้นที่ทดลองจำนวน 924 หมู่บ้าน 99 ตำบล ใน 15 อำเภอ เน้นการปลูกป่า 3 อย่างประโยชน์ 4 อย่าง และให้ชาวบ้านทำกินใต้ต้นไม้ใหญ่ พร้อมกับให้เงินชดเชยสำหรับชาวบ้านที่เลิกปลูกข้าวโพด พร้อมทั้งช่วยหาตลาดรองรับผลผลิตแทนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในระยะยาว หากทำกินในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 1, 2ก่อนมติครม 30 มิ.ย. 41 จะมีการจัดที่ดินแปลงรวม หลังจากนั้น มีสิทธิทำกินเพียงการปลูกพืชใต้ต้นไม้ใหญ่ ไม่ให้มีการแผ้วถาง
ขณะที่น้ำพางโมเดล มีความยืดหยุ่นมากกว่า ชาวบ้านจะทยอยลดพื้นที่ปลูกข้าวโพดปีละ 20% ด้วยตนเอง ทำเกษตรแบบผสมผสาน ปลูกทั้งไม้ผล และพืชผักสวนครัว ปรับปรุงระบบประปาภูเขา เพื่อมีน้ำใช้ในการทำเกษตร จุดเด่นสำคัญคือ ชุมชนเป็นผู้กำหนดขอบเขตและจำแนกการใช้ประโยชน์เอง รวมถึงยกระดับอาชีพ ในลักษณะวิสาหกิจชุมชน โมเดลนี้ขับเคลื่อนโดยมูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ
อีกโมเดลที่มีความน่าสนใจ โครงการ สวมหมวกให้ภูเขา สวมรองเท้าให้ตีนดอย เป็นโมเดลที่นำศาสตร์พระราชามาประยุกต์ใช้ ปลูกป่าบนยอดเขา ถัดจากยอดเขาเป็นพื้นที่ทำการเกษตร ตีนภูเขาหรือตีนดอย ขุดบ่อทำประมง โมเดลนี้จะชดเชยให้เกษตรกรที่ปลูกข้าวโพด 1,600 บาทต่อไร่ และจะมีโครงการธนาคารต้นไม้ จ่ายเงินให้ตามวงรอบต้นไม้ที่มีอายุครบ 6 ปี โครงการนี้มีการเปิดระดมทุนจากบุคคลภายนอก เพื่อช่วยสนับสนุนการดูแลต้นไม้ของชาวบ้าน มีหน่วยงานขับเคลื่อนหลักคือ วิทยาลัยชุมชนน่านและมูลนิธิปิดทองหลังพระ
ส่วนอีกโมเดล ของอาจารย์ยักษ์ วิวัฒน์ ศัลยกำธร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คือ หลุมขนมครก บนพื้นที่สูงซึ่งเป็นโมเดลที่ประยุกต์ใช้กับที่ดิน สปก. เน้นการทำโคกหนองนา ขุดบ่อน้ำ 30% ปลูกข้าว 30% สวนโคกไม่ต้องถม เพราะว่าเป็นภูเขาอยู่แล้วปลูกป่า 30% ที่เหลือไว้เป็นที่อยู่อาศัยและเลี้ยงสัตว์อีก 10 % ภายในโครงการเพิ่มความชุ่มชื้นด้วยการขุดคลองไส้ไก่ ทำฝายชะลอน้ำ สร้างบ่อเก็บน้ำและปลูกป่า 3 อย่างประโยชน์ 4 อย่าง
📌 เสนอรัฐทบทวนประกาศชั้นลุ่มน้ำ - เน้นจัดการร่วม
ทุกโมเดลมีเป้าหมายเดียวกัน คือลดพื้นที่การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ แต่คำถามก็คือโมเดลไหนที่จะสามารถแก้ปัญหานี้ได้ดีที่สุด
ก่อนอื่นคงต้องทำความเข้าใจว่า เดิมชาวบ้านมักถูกผลักให้เป็นจำเลยของภูเขาหัวโล้น แต่ความจริงแล้วการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มีที่มาจากนโยบายการส่งเสริมจากรัฐ และระบบเกษตรแบบอุปถัมภ์ เกิดเป็นปัญหาหนี้สิน และภาระการเงินในครัวเรือน การปรับเปลี่ยนพื้นที่การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จึงไม่ใช่แค่การปลูกต้นไม้ แต่คือการเปลี่ยนตลาดผลผลิต
ในมุมมองของเครือข่ายภาคประชาสังคม นายประยงค์ ดอกลําไย ที่ปรึกษาพีมูฟ บอกว่า การฟื้นฟูพื้นที่ต้นน้ำต้องอาศัยการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชนในการกำหนดจัดสรรพื้นที่ ไม่บังคับ และค่อยเป็นค่อยไป สำคัญคือเงินไม่ขาดมือหลังเลิกปลูกข้าวโพดแบบกระทันหัน ซึ่งน้ำพางโมเดลตอบโจทย์นี้ได้ดี
ขณะที่นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว กล่าวถึงจุดเด่นของโมเดลอื่น ที่มีการจ่ายเงินชดเชย แต่ต้องสื่อสารให้ชัด และสร้างหลักประกันว่าจะไม่เสียสิทธิ์ในที่ทำกิน
ประเด็น สิทธิในที่ทำกินเป็น ปัญหาสำคัญของการแก้ภูเขาหัวโล้น ซึ่งทุกปลายทางของทุกโมเดล คือต้องเข้าการจัดสรรที่ดิน โดย คณะกรรมการนโนยบายที่ดินแห่งชาติ หรือ คทช.
หากกางกฎหมายออกมาดูแล้ว พบว่าหลายชุมชนใน จ.น่าน ยังทำกินในที่ป่าอย่างผิดกฎหมาย โดยการที่ ที่ทำกินนั้นตั้งอยู่ในพื้นที่คุณภาพลุ่มน้ำชั้น 1 และชั้น 2
ภาคประชาชน จึงเสนอให้ มีมติ ครม.ทบทวนการแบ่งลำดับชั้นลุ่มน้ำ หรือให้มีการยกเว้นบางกรณี เช่นเดียวกับที่มีการยกเว้น พื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 1 ชั้น 2 เพื่อเปิดทางให้กับทำเหมืองปูนในจังหวัดสระบุรี นอกจากนั้นยังเสนอให้ยกระดับโครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนดังกล่าวให้รับรองสิทธิชุมชนในการจัดการที่ดินและทรัพยากรอย่างแท้จริง
ขณะที่ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รับปากว่าจะนำข้อเสนอของภาคประชาสังคมไป พิจารณาเพื่อหาจุดสมดุล
อย่างไรก็ตาม รมว.ทส. บอกว่า ต้องยอมรับว่า วันนี้จำนวนประชากรสวนทางกับพื้นที่ที่มีจำนวนคนมากขึ้น แต่ที่ดินมีเท่าเดิมดังนั้นวิถีชีวิตเดิมที่ทำกันมาแต่โบราณก็ต้องมีการปรับเปลี่ยน ทั้งนี้การรักษาพื้นที่ต้นน้ำเป็นสิ่งจำเป็นเพราะแม่น้ำต่างๆจะได้มีน้ำหล่อเลี้ยงไม่เกิดปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วม โดยจะนำเงื่อนไขของน่านแซนด์บอกซ์ คือพิจารณาจาก หลักฐานการทำกิน ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 1 2 ก่อนมติครม 31 นิยม 41 ให้มีการจัดที่ดินแปลงรวมแต่ หลังจากปี 2541 ให้เพียงทำกินใต้ต้นไม้ใหญ่เท่านั้นไม่มีการถางเพิ่ม
ส่วน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหาที่ดินและการออกเอกสารสิทธิในที่ดิน ระบุว่า อยู่ระหว่างลงพื้นที่ สำรวจปัญหาที่ดินทุกจุดที่มีปัญหา สิ่งสำคัญคือกระบวนการยุติธรรมด้านที่ดินที่ควรได้รับการปฏิรูป เพราะชาวบ้านเข้าถึง ชั้นตำรวจ - อัยการได้ยากมาก หลังจากเร่งศึกษาข้อมูลครบถ้วนแล้วจะชี้แจงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร และมีข้อเสนอให้ปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับที่ดิน หลายข้อที่เป็นปัญหาต่อไป
📌 ทส.หนุน "น่านแซนด์บ็อกซ์" แก้เขาหัวโล้น
ถ้าฟังจากซุ่มเสียง ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมก็ดูเหมือนว่าจะยึดหลักเกณฑ์ ทำกินก่อนมติครม. 30 มิถุนายน 2541 เป็นสำคัญในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 1 และ 2
หลังจากนี้คงจะต้องไปพิจารณาดูว่ามีชุมชนไหนบ้างที่ทำกินภายหลังจากมติครม. ปี 2541 ซึ่งตรงนี้หลายกรณีก็จะมีปัญหาความขัดแย้ง เพราะชาวบ้าน ยืนยันมาโดยตลอดว่าเป็นที่ดินที่สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ขณะที่รัฐจะใช้หลักฐาน ตามภาพถ่ายดาวเทียม สิ่งนี้ทำให้เกิดกรณีพิพาทในหลายคดี ในเรื่องของการพิสูจน์สิทธิ์ที่ดินที่ผ่านมา.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น