เก็บตกจากวชิรวิทย์ | ไต้หวัน ก่อนปิดน่านฟ้า เพราะโรคระบาด (ชมภาพ)
ก่อนทุกประเทศจะปิดน่านฟ้าของตัวเอง จากโรคระบาด covid-19 เมื่อช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2563
ผมและเพื่อนๆจังหวัดน่านอีก 3 คนเดินทางไปที่ประเทศไต้หวัน เพื่อท่องเที่ยวและพักผ่อน หรือถ้าพูดกันอย่างตรงไปตรงมาคือ เปลี่ยนที่นอน ที่กินเหล้าก็ว่าได้
มีช่วงระยะเวลาจังหวะหนึ่ง ที่ผมนั่งเครื่องไปก่อนเพื่อนแล้วก็ได้ใช้โอกาสนี้เดินศึกษาเรียนรู้ ความเป็นไต้หวัน จากสิ่งที่มองเห็นด้วยตาเปล่า
ผมช็อตโน๊ต ลงบนโทรศัพท์มือถือแต่ยังไม่ได้เผยแพร่ในที่ใดเหมือนจะเก็บไว้อ่านคนเดียว แต่จนถึงเวลานี้ก็ถึงเวลาอันสมควรแล้วที่จะนำมาเรียบเรียงและเล่าสู่กันฟัง
📌 มาคนเดียว ที่เหลือกำลังตามมา
มันไม่ง่ายเลยที่จะมาต่างประเทศเพียงลำพังคนเดียว เป็นประสบการณ์ ที่ต้องฝ่าความกล้าความกลัวหลายอย่าง แล้วคิดอยู่นานว่า จะยอมเสียค่าเปิดห้องที่โรงแรมไปเลยอีกคืนนึงเพื่อที่จะไม่ต้องมารอเช็คอินตอนบ่าย 3 ของเย็นวันนี้
แต่ในที่สุดเราก็เลือกที่จะมาคนเดียวและไม่มีการวางแผนใดๆไม่รู้ว่าต้องมาเจอสถานการณ์ใดๆ รู้แค่ว่าจะต้องเอาตัวรอดให้ได้เพราะไม่มีใครช่วยมีเราเพียงคนเดียว
แต่ในที่สุดเราก็สามารถมาคนเดียวได้ แม้จะประหม่ากลัวนิดหน่อย แต่ภาษาอังกฤษในช่วงเวลาวิกฤตยังขุดออกมาใช้ได้อย่างดีเลยทีเดียว ในช่วงที่ต้องเข้าไปคัดกรองโรคไวรัสโคโรน่าที่ต้องคุยกับหมอไต้หวัน
สำหรับที่สนามบิน เถาหยวนของไต้หวันนั้น ต้องบอกว่าที่อ่านรีวิวมาผิดคาด เพราะเรากะว่าจะมานอนพักตอนเช้าที่สนามบินเพราะลงเครื่องตอน 8:00 น แต่มองไปทางไหนก็ไม่เห็นมีที่ให้พัก แถมยังเกือบจะกลายเป็นสนามบินร้าง เพราะไม่มีนักท่องเที่ยวอันเนื่องมาจากการกระทบไวรัสระบาด
เถาหยวน เป็นสนามบินที่ตั้งอยู่กลางทุ่งนามองลงมาจากเครื่องบินนึกว่าอยู่แถวบางบาล บางปะอินแถวอยุธยา ยังไงยังงั้น
📌 โดนค่าแท็กซี่ 38 กิโล 1500 บาท
ด้วยความที่มาคนเดียวจะให้ขึ้นรถไฟไปยังเมือง ที่ชื่อ "เสี่ยวเสี่ยวหมิงหมิง" อะไรนั่นก็ไม่รู้จัก ไม่มีเวลาเปิดหาข้อมูลอยู่ตรงไหนของแผ่นดินไต้หวัน รู้แต่ว่าอยู่ห่างจากสนามบินไปประมาณ 40 กิโลเมตร ก็เลยคิดว่าคงนั่งแท็กซี่ไปน่าจะไม่เกิน 500 มโนเอาตามเรทแท็กซี่บ้านเรา ชาร์จนุ้นชาร์จนี่แล้วก็ไม่น่าเกิน 500 เพราะว่าแท็กซี่ไปถึงตลาดน้ำดำเนินสะดวกยังคิดประมาณ 2,000 บาท
นั่งไปก็ขนลุกไปเพราะว่าตัวเลขมิเตอร์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เริ่มจาก 105 ดอลลาร์ไต้หวัน ก็เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงโรงแรมมาจบที่ คิดเป็นเงินไทย 1,500 บาท
แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะว่านั่งรถไฟหลงแน่ๆ แต่ที่ประทับใจคือแท็กซี่ไต้หวันซื่อสัตย์มากๆถอนเงินเป๊ะไม่ปัดเศษ ส่วนวิวระหว่างทาง ก็ค่อนข้าง VIP บอกเลยว่าเหมือนนักท่องเที่ยวคนอื่นต้องมานั่งผจญภัยนั่งรถไฟ เพราะว่าแท็กซี่พาขึ้นทางด่วน วิ่งฉิว ก็ต้องบอกเลยว่าบางช่วงช่วงระหว่างสนามบินมาจนถึงเมืองหลวงให้อารมณ์เหมือนสระบุรี มีป่ากับโรงงานอุตสาหกรรมสลับปะปนกันไป สะท้อนว่าไต้หวันไม่ใช่เมืองที่วางผังเมืองได้ดีมากนัก และเป็นเมืองที่ลึกๆ แล้วก็มีปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อม
📌 ไต้หวันยังสับสนว่าตัวเองจะเป็นจีน หรือ ญี่ปุ่น
ไต้หวันแม้ปัจจุบันจะเป็นเขตปกครองพิเศษภายใต้สาธารณรัฐประชาชนจีน แต่ก็มีวัฒนธรรม และมีรูปแบบเมือง, การใช้ชีวิตของผู้คนที่ต่างไปจากคนจีนแผ่นดินใหญ่
ในช่วงเวลา 50 ปีก่อนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นได้ครอบครองเกาะไต้หวัน เป็นช่วงเวลาที่วัฒนธรรม ดั้งเดิมของไต้หวันถูกกดทับโดยวัฒนธรรมญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์ การแต่งตัว การดำเนินชีวิต และความเป็นระเบียบเรียบร้อยบางอย่างก็ได้แบบอย่างมาจากญี่ปุ่น
เห็นได้จากวันนี้ เดินเข้าไปในสวนหย่อม เล็กๆแห่งหนึ่งกลางเมืองก็จะพบกับนิทรรศการภาพถ่ายในอดีตของเมืองไต้หวัน ซึ่งจะเป็นนิทรรศการเล็กๆไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่มีการจัดวางจัดเรียงหนังสือเล็กๆน้อยๆอย่างมินิมอล ไม่เอิกเกริกใหญ่โต ดูเรียบง่าย ดูได้แบบอย่างมาจากญี่ปุ่น
เก้าอี้เรียงกันเป็นแถวเป็นแนวเป็นระเบียบไม่มากตัว ไม่เยอะจนเกินไปไม่เหมือนที่จีนแผ่นดินใหญ่
การใช้ของการใช้ชีวิตของผู้คนก็คล้ายๆกับคนญี่ปุ่น ไต้หวันมีสภาพเป็นสังคมผู้สูงอายุเหมือนกัน จึงได้เห็นคนแก่จับกลุ่มพูดคุยกันที่สวนหย่อม ซึ่งมีอยู่ทั่วเมืองซึ่งอันนี้เป็นสิ่งที่กรุงเทพฯไม่มี
สวนหย่อมไม่ใช่สวนสาธารณะ เพราะสวนสาธารณะเป็นสวนที่มีขนาดใหญ่กว่ามีพื้นที่มาก มีนู่นมีนี่ แต่สวนหย่อมจะปรากฏอยู่ทั่วไปในเมืองเป็นพื้นที่สีเขียวเล็กๆ ที่พลิกเอาพื้นที่รกร้างว่างเปล่ามาใช้ประโยชน์สาธารณะ ในนั้นนอกจากจะเป็นพื้นที่จับกลุ่มพูดคุยกันของคนเฒ่าคนแก่แล้ว คนไต้หวันชอบเลี้ยงหมา พวกเขาเอาสุนัขเอาหมามาวิ่งเล่นในสวนหย่อมแห่งนี้พบปะเพื่อนที่เลี้ยงหมาด้วยกัน เป็นสังคมเรียบง่าย ที่คล้ายๆกับญี่ปุ่น
ความคล้ายญี่ปุ่น แม้ไต้หวันจะกลับมาอยู่ใต้ร่มจีนหลังแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 มาหลายทศวรรษแล้ว แต่ความเป็นญี่ปุ่นก็ยังสืบทอดมาถึงรุ่นหลานรุ่นลูกรุ่นหลานเพราะยังได้เห็นเด็กวัยรุ่นออกมาเต้นเพลงคล้ายๆกับแนวเจป๊อปตามท้องถนนซึ่งเป็นวัฒนธรรมนิยมที่เห็นตาม Social Media โดยทั่วไปที่ไม่ได้เกิดจากการคุมอำนาจทางการเมือง
📌 รวบรวมความกล้าเพื่อบะหมี่ชามเดียว
ด้วยความคุ้นชิน KFC และ Mcdonald อาจเป็นตัวเลือก ที่ดีที่สุดในยามมาต่างประเทศ สถานที่ที่เราไม่คุ้นชิน แต่จะดีกว่าไหม ถ้าเราทำให้การเดินทางครั้งนี้มันไม่เสียเปล่า
การออกนอก Comfort Zone มา ลองลิ้มรสชิมอาหารที่แปลกใหม่ที่ไม่เคยกินมาก่อน ก็เพื่อให้คุ้มกับการเดินทางมาทั้งทีแล้ว
ใช้เวลาอยู่นานในการเดินหาของกินมื้อเที่ยงซึ่งไม่ได้กินข้าวมาตั้งแต่ตอนเช้า ก็ไปสะดุดตากับร้านก๋วยเตี๋ยว ที่คล้ายๆกับลูกชิ้นปลาบ้านเรา ออกโทนสีขาวมีหม้อก๋วยเตี๋ยวมีเครื่อง ทีแรกจะก้าวเท้าเข้าไปแต่ก็ยังคิดว่าจะสั่งยังไง แล้วมันเป็นก๋วยเตี๋ยวที่เราคิดไว้หรือเปล่า เราจะสั่งเส้นเล็กเส้นใหญ่จะพูดแบบไหน จะน้ำ หรือจะแห้งอย่างไร แล้วคนที่กินส่วนใหญ่ในร้านเป็นคนไต้หวัน แล้วเราจะได้รับการต้อนรับไหม เพราะว่าพ่อค้าแม่ค้าดูวุ่นวายมากกับการ ทำอาหารให้ทันต่อลูกค้าที่เข้ามาเยอะ
เดินวนดูท่าทีอยู่ 2- 3 รอบเพื่อรวบรวมความกล้าและปวารณาว่าจะไม่กิน KFC ก็เดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะ ปรากฏว่ามีเมนูเป็นภาษาจีน ให้ติ๊ก ซึ่งเราอ่านภาษาจีนไม่ออก ก็เลยงงว่าจะกินยังไง จะสั่งอะไร คงต้องสุ่มเอามั้ง
สรุปก็รวบรวมความกล้าเดินไปบอกแม่ค้า อย่างที่เราทำกับร้านจิ้มจุ่มข้างออฟฟิศ เราบอกว่า "ไท่กั๋วเหริน" นะ นี่เป็นคนไทย แล้วก็พูดภาษาอังกฤษต่อว่า Do you have Pictures? แกก็หยิบเมนูที่มีรูปภาพพร้อมกับภาษาอังกฤษกำกับว่าอันไหนคือเมนูไหนเป็นหมูเมนูไหนเป็นไก่เป็นเนื้อเป็นกุ้งเป็นเกี๊ยว เราก็ชี้ที่ภาพ แล้วก็ผ่านมาได้ 1 มื้อ
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องรสชาติ เป็นรสชาติจืดมาก แต่ราคาถ้วยนึง 80 บาท ถ้าใครบอกว่าไต้หวันอาหารถูกไม่จริง แพงกว่าบ้านเราเท่านึงขนาดไปร้านก๋วยเตี๋ยวธรรมดาธรรมดาในตึกแถว
ส่วนตอนจะเก็บตังค์ก็พูดเป็นภาษาไทย แม่งเลย เพราะพูดภาษาอังกฤษไปก็ฟังไม่ออก ก็ยกแบงก์กวักเรียก "เก็บตังค์เก็บตังค์ด้วยครับ" เขาก็เหมือนจะดูออกว่าเรียกเก็บตังค์ก็เลยมาเก็บแล้วก็ทอนเงินแล้วก็เดินออกมา
บะหมี่ถ้วยนี้จึงทำให้เราเรียนรู้ว่า มันไม่ง่ายเลยกับการใช้ชีวิตในต่างประเทศ ต่างที่ต่างถิ่นไม่ว่าจะเป็นส่วนใดก็ตาม การปรับตัวแม้แต่กับเรื่องเล็กๆน้อยๆที่จะก้าวข้ามผ่านนั้นเป็นสิ่งที่ยากลำบากเหลือเกิน
📌 ถ้าไต้หวันเป็น ประเทศพัฒนาแล้ว ไทยก็เป็นได้
ความเป็นประชาธิปไตย คือสิ่งที่คนไต้หวันตื่นตัวและมีมาโดยตลอด เห็นได้จากความพยายามในการที่จะไม่เหมารวมตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของจีนแผ่นดินใหญ่ แต่ไต้หวันก็คือไต้หวันประเทศเกาะเล็กๆที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยเคารพเสียงและสิทธิของพลเมือง
มีระบบขนส่งมวลชน และมีโครงสร้างพื้นฐานต่างๆที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนไต้หวันอย่างเชื่อมต่อกัน ซึ่งมีเบื้องหลังมาจากการเลือกตั้งผู้นำที่ขึ้นมากำหนดนโยบาย
ด้วยความที่ค่าเงินของไต้หวันไม่ต่างจากเมืองไทยมากนัก เราจึงสามารถจับต้องได้ถึงความเป็นไปของไต้หวันที่มันขยับขึ้น เหมือนจะดีกว่าประเทศไทยขึ้นไปอีกแค่นิดเดียว
เพราะฉะนั้นถ้าประเทศไทยพยายามที่จะพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศของตัวเอง ไม่ช้าไม่นานก็จะเป็นอย่างไต้หวัน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น