เก็บตกจากวชิรวิทย์ | พลิกปมข่าว ตอน "ส่องแนวรับ โควิดเพื่อนบ้าน"
หลังจากที่ไทยปลอดการติดเชื้อโควิดภายในประเทศครบ 100 วัน ก็มีเคสผู้ติดเชื้อรายใหม่ภายในประเทศเกิดขึ้นทันที จนถึงวันนี้ก็นับได้ 2 กรณีคนไทย และ 2 กรณีชาวต่างชาติที่ติดเชื้อไปจากไทย แม้ว่าตัวเลขยังไม่พุ่งสูง แต่ก็เป็นสิ่งที่กรมควบคุมโรคต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เพราะนั่นหมายความว่ามีผู้ติดเชื้อ ที่ไม่ได้รับการรายงาน หลงเหลืออยู่
ขณะเดียวกันความเสี่ยงล่าสุดที่ต้องเผชิญคือจำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศเพื่อนบ้านที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะที่ประเทศเมียนมา มีไม่ต่ำกว่าวันละ 100 คน ประเมินแล้วก็เป็นไปได้ ที่โรคอาจแพร่ระบาดมายังประเทศไทยทางชายแดนอีกช่องทางหนึ่ง
#วชิรวิทย์รายวัน ได้ลงพื้น อ.แม่สอด จ.ตาก เพื่อไปดูการเตรียมความพร้อมรับมือการสกัดโควิด 19 บริเวณชายแดน บอกว่า แม้จะมีการตรึงกำลังทั้งเจ้าหน้าที่ทหาร และชุดรักษาความปลอดภัยประจำหมู่บ้าน หรือ ชรบ. แต่ก็ไม่มีใครกล้าการันตีว่าจะป้องกันแรงงานเมียนมาลักลอบเข้ามายังชายแดนไทยได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ทุกคนก็ทำเต็มที่แล้ว ดูจากสถิติการจับกุมในช่วงเดือนที่ผ่านมาก็มีแนวโน้มลดลง
"ที่บอกว่าต้องตรึงกำลังกันอย่างเข้มข้น เพราะไทยกับเมียนมา มีแนวชายแดนทางบกที่ติดกันกว่า 2,400 กิโลเมตร มีจุดผ่านแดนถาวร จุดผ่อนปรน และจุดผ่านแดนชั่วคราวรวมแล้วอย่างน้อย 20 แห่ง ใน 7 จังหวัด"
แต่พื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญที่กระทรวงสาธารณสุข เน้นย้ำคือ จังหวัดตาก เนื่องจากเป็นจุดที่แรงงานจากเมียนมาเข้าออกมากที่สุด ในสถานการณ์ปกติแรงงานเมียนมาใช้ช่องทางนี้ข้ามมายังฝั่งไทยไม่ต่ำกว่า 1 แสนคนต่อปี ประกอบกับจังหวัดตาก มีแนวชายแดนที่ติดกับฝั่งเมียนมายาวกว่า 540 กิโลเมตร นับว่า มีพื้นที่ติดกับเมียนมามากกว่าจังหวัดอื่น
เข้มลาดตระเวนแนวชายแดน แต่สกัดเมียนมา ไม่ 100%
#วชิรวิทย์รายวัน พาลงพื้นที่ไปดู จุดหนึ่งที่มีความเสี่ยงที่จะมีการนำแรงงานลักลอบเข้ามา จุดนี้อยู่บริเวณตำบลท่าสายลวด อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เป็นพื้นที่ชายแดนที่มีลักษณะภูมิประเทศเป็นพื้นราบไม่มีภูเขาหรือแม่น้ำกั้น บริเวณที่เห็นอยู่นี้โดยปกติก่อนจะเกิดโควิด ก็เป็นจุดที่เจ้าหน้าที่ จับกุมการลักลอบขนยาเสพติดอยู่แล้ว จึงได้เห็นการตรึงกำลัง ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แล้วก็ชุดชรบ. เดินลาดตระเวนตลอด 24 ชั่วโมง แต่ก็ต้องยอมรับนะครับว่าพื้นที่ราบเดินสะดวกแบบนี้ตามแนวชายแดนมีถึงกว่าร้อยละ 40
แม้จะมีการปิดด่านพรมแดน แต่มาดูสถิติการจับกุม ตาม. พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ในรอบ 6 เดือนย้อนหลังในพื้นที่จ.ตาก ตั้งแต่เดือน มี.ค.-ส.ค. 2563 ในข้อหาหลบหนีเข้าเมืองมี 253 คดี 1,454 ราย แบ่งเป็น สัญชาติเมียนมา 1,377 ราย สัญชาติเมียนมา(มุสลิม) 31 ราย สัญชาติจีน 41 ราย สัญชาติกัมพูชา 3 ราย สัญชาติอินเดีย1ราย และสัญชาติสิงค์โปร์ 1 ราย
พันตำรวจเอก สังคม ตัดโส ผู้กำกับตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดตาก บอกว่า นอกจากการสกัดบริเวณชายแดนแล้วพื้นที่ชั้นในตำรวจโรงพักก็จะมีการตั้งด่านสกัด ซึ่งหากแรงงานสามารถหลุดเข้าไปใช้เส้นทางถนนพหลโยธินและเข้าไปในเมืองชั้นในได้อีกต่อไป การสกัดก็จะทำได้ยากมากขึ้น จึงต้องอาศัยการสุ่มตรวจสถานประกอบการที่มีแรงงานต่างด้าวว่ามีเอกสารถูกต้องหรือไม่
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการสกัดแรงงานเมียนมาตามแนวชายแดน อาจทำไม่ได้ 100% นั่นก็หมายความว่า ประเทศไทยยังคงมีความเสี่ยงที่จะมีผู้ติดเชื้อจากประเทศเพื่อนบ้านได้อีกทางหนึ่ง เพราะอย่างประเทศเมียนมาการระบาดระลอกนี้ ก็เริ่มต้นจากบริเวณชายแดนที่ติดกับประเทศอินเดียซึ่งตอนนี้มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก
คาดปลายเดือน ก.ย. 63 โควิดเมียนมาประชิดชายแดนไทย
ย้อนไป ในช่วงกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เมียนมาเริ่มพบผู้ติดเชื้อที่รัฐยะไข่ หลังจากนั้นจำนวนผู้ติดเชื้อก็เพิ่มมากขึ้นหลักร้อยต่อวัน
หากนำแบบจำลองทางคณิตศาสตร์มาคำนวณดูก็จะพบว่า ถ้ายังมีผู้ติดเชื้อไม่ต่ำกว่าวันละ 100 คน ซึ่งในความเป็นจริงอาจมีมากกว่านั้นเพราะนี่เป็นเพียงแค่ตัวเลขที่ได้รับการรายงานยืนยัน เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ก็คาดการณ์อีกประมาณ 2 สัปดาห์ หรือ ปลายเดือนกันยายนนี้ การระบาดที่อยู่ทางตอนกลางของเมียนมาจะขยายพื้นที่มาถึงชายแดนไทย
จากแผนที่การระบาดของโรคโควิด 19 ในประเทศเมียนมา จะเห็นว่าเหลือเพียงรัฐซะไกง์ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือ และรัฐกะยา ซึ่งตรงนี้ติดกับจ.แม่ฮ่องสอน เท่านั้นที่ยังไม่มีผู้ติดเชื้อ
ส่วน สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ที่ประเทศเมียนมาล่าสุด เมื่อวานนี้ 13 กันยายน มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีก 173 รายทำให้ตอนนี้ที่เมียนมามีผู้ป่วยสะสมกว่า 2,500 ราย
ความเสี่ยง และความพร้อม "หมอชายแดน" รับมือโควิด
หากเป็นไปตามการคาดการณ์ ว่าผู้ติดเชื้อโควิดเมียนมาจะลุกลามมาประชิดชายแดนไทยในช่วงปลายเดือนกันยายน ก็หมายความว่าเรามีเวลาในช่วงนี้ที่จะเตรียมความพร้อมเรื่องอุปกรณ์และเวชภัณฑ์ต่างๆในการที่จะรับมือความเสี่ยง
แต่นอกจากแรงงานที่ลักลอบเข้ามาแล้ว โรงพยาบาลที่อยู่ตามแนวชายแดน เป็นสถานที่รักษาตัวของคนไร้สัญชาติจากทั้งฝั่งไทยและเมียนมานานแล้วด้วย เพราะฉะนั้นคุณหมอที่นั่นยอมรับว่า ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาอยู่ในขณะนี้ แยกไม่ออกเหมือนกันว่า เป็นคนไร้สัญชาติจากฝั่งไทยหรือฝั่งเมียนมา สิ่งนี้เป็นความเสี่ยงอีกส่วนหนึ่งของบุคลากรทางการแพทย์ด้วย
การระดมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน และอาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว จึงมีบทบาทอย่างมากในการควบคุมโรคที่บริเวณตะเข็บชายแดน พวกมีส่วนช่วยได้อย่างไร ไปดูกันครับ
ท่าเรือข้ามฟากแม่น้ำเมย ฝั่งไทยเมียนมาร์ของชุมชนกะเหรี่ยง ในต.แม่ต้าน อ.ท่าสองยาง จ.ตาก เหลือแต่ความว่างเปล่าหลังจากพรมแดนถูกปิดสนิทเมื่อช่วงกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
ตามปกติแล้วชาวบ้านแถบนี้ จะข้ามไปมาหาสู่กันเพื่อแลกเปลี่ยนสินค้าพื้นบ้าน แต่การระบาดของโควิด 19 ทำให้ทุกอย่างหยุดนิ่ง
อาสาสมัครสาธารณสุข ต.แม่ต้าน ลงพื้นที่ เคาะประตูบ้านทุกหลังในชุมชนซึ่งอยู่ติดกับแนวชายแดน ตรวจสอบ ค้นหาแรงงานต่างด้าวที่อาจลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย โดยหากพบความผิดปกติหรือคนแปลกหน้าจะประสานกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองทันที
ขณะที่อาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว ซึ่งเป็นชาวกะเหรี่ยงไร้สัญชาติ มีบทบาทสำคัญในการติดต่อสื่อสารกับเครือข่ายอสต.ฝั่งเมียนมา หากต้องการส่งผู้ป่วยหนักเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลท่าสองยาง ซึ่งปิดรับผู้ป่วยจากฝั่งเมียนมาตั้งแต่โควิดระบาด
ถัดจากแม่น้ำเมย ชายแดนไทยเมียนมาร์เข้าไปเพียง 600 เมตร เป็นที่ตั้งของโรงพยาบาล โรงพยาบาลท่าสองยาง ที่นี่เป็นความหวังของชาวเมียนมาร์ ในการรักษาตัวมาโดยตลอด เพราะการสาธารณสุขในประเทศเพื่อนบ้านยังไม่พร้อม
ผู้ป่วยร้อยละ 30 จากจำนวนผู้ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแห่งนี้มากกว่า 1 แสนคนต่อปีเป็นเป็นบุคคลไร้สัญชาติ จากทั้ง 2 ฝั่ง
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลท่าสองยาง ยอมรับว่า สิ่งนี้ คือความเสี่ยงติดเชื้อของบุคคลากรทางการแพทย์ เพราพแยกคนไข้ไม่ออกว่า มาจากฝั่งไหน
และนี่ก็คือ ห้องเก็บเวชภัณฑ์ เช่น ชุดกาวน์ เฟซชิว หน้ากาก n95 หน้ากากอนามัย ที่เตรียมไว้เพื่อป้องกันการติดเชื้อของบุคลากรทางการแพทย์จากโควิด ร้อยละ 80 เป็นของที่ได้รับมาจากการบริจาค ที่เหลืออีกร้อยละ 20 เบิกมาจากส่วนกลาง ซึ่งโรงพยาบาลยังคงต้องการเวชภัณฑ์เหล่านี้ โดยเฉพาะชุด PPE เพื่อรับมือหากเกิดการระบาดตามแนวชายแดน
ปัญหาโรงพยาบาลชายแดน ขาดแคลนทรัพยากรเป็นปัญหาที่มีมานานแล้ว และเมื่อเกิดการระบาดของโควิดตามแนวชายแดน #วชิรวิทย์รายวัน จึงสอบถามเรื่องนี้กับสาธารณสุขจังหวัดตาก ได้รับคำตอบว่าได้สำรวจอุปกรณ์ในการป้องกันโรคจากทุกโรงพยาบาลในสังกัดเป็นที่เรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นชุดกราวน์หน้ากาก n95 เฟสชิว surgical Mask หรือแม้กระทั่งชุด ppe พบว่าอุปกรณ์ดังกล่าวนั้นมีเพียงพอใช้ประมาณ 1 ถึง 3 เดือน เพื่อเตรียมไว้ใช้หากพบผู้ติดเชื้อ และก็ทำการขออุปกรณ์ป้องกันจากส่วนกลางสำรองไว้เพิ่มเติมหากเกิดการระบาดในพื้นที่
ขณะเดียวกันกรมควบคุมโรคก็ได้ส่งรถตรวจเชื้อชีวนิรภัยพระราชทาน ตรวจหาผู้ป่วยเชิงรุกในชุมชนที่มีแรงงานเมียนมาอาศัยอยู่หนาแน่นด้วย ซึ่งตั้งเป้าให้ได้ 10,000 คน
ก็นับได้ว่าในพื้นที่ชายแดน มีการเตรียมความพร้อมทั้งในแง่ของการสกัดไม่ให้มีแรงงานเมียนมาลักลอบเข้ามา ขณะเดียวกันด้านสาธารณสุขกรณี ก็เตรียมความพร้อมอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆเอาไว้รองรับหากเกิดการระบาดที่บริเวณชายแดน หลังจากนี้คงต้องติดตามดูว่าในช่วงปลายเดือนกันยายนผู้ติดเชื้อจากเมียนมาจะมาประชิดถึงชายแดนไทยหรือไม่
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น