เก็บตกจากวชิรวิทย์ | วิกฤติเศรษฐกิจ​ถดถอย​ ปี​ 64​ เสี่ยงว่าง​ 3.26​ ล้านคน​

ปัญหาการว่างงาน​ เป็นประเด็นที่​ #วชิรวิทย์รายวัน ติดตามมาตลอดเพราะเป็นผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ covid 19 แต่หากมองไปข้างหน้า ปัญหาการว่างงานจะรุนแรงหรือไม่ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้​ และพยากรณ์ไปถึงปีหน้า​ ก็คงขึ้นอยู่กับนโยบายความมั่นคงทางสุขภาพ​ ซึ่งดูแลโดย​ ศบค.​ 

หากยังให้น้ำหนักกับความมั่นคงทางสุขภาพ อย่างเข้มข้นต่อเนื่องก็อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศและลามต่อไปยังตลาดแรงงาน​ ให้สามารถฟื้นตัวได้ช้าลง 


ในปี 2564 ก็อาจจะได้เห็นตัวเลขผู้ตกงานจริงๆแต่ถึง 3 ล้านคน เลยทีเดียว​ การบอกต่อๆกันว่าหากใครมีงานประจำให้กอดเอาไว้แน่น​ ก็คงจะสะท้อนความกังวลของสังคมในขณะนี้ได้เป็นอย่างดี​ เพราะงานทุกวันนี้หายากเหลือเกิน

แต่ในทางกลับกันคนที่มีงานประจำอยู่แล้วก็ใช่ว่าจะไม่มีความเสี่ยงตกงาน​ เพราะสถานการณ์การแพร่ระบาดของ covid ที่ยังมีผู้ติดเชื้อจำนวนมากทั่วโลกยังคงต้องระมัดระวังการเปิดน่านฟ้าจุดให้เศรษฐกิจซบเซา​ ไปแบบยาวๆ 

ที่บอกว่าไม่ฟื้นตัว​ ก็เพราะว่าหากเราไปย้อนดูตัวเลขหลังจากเริ่มมีการระบาดของ covid 19 ผ่านมา 6 เดือน​ พบว่ามีผู้ว่างงานในไตรมาส 2 ของปี 2563 เพิ่มขึ้น 7.4 แสนคน​ คิดเป็นอัตราการว่างงาน 2% ประเด็นที่ทีดีอาร์ไอ​ เป็นห่วง​ ก็คือ ผู้ที่มีงานประจำแต่ไม่ได้ทำงาน ซึ่งถือว่ากลุ่มนี้เสี่ยงตกงานมากที่สุดมีจำนวนถึง 2.5 ล้านคนเมื่อรวมกับผู้ว่างงานจริง 7.4 แสนคน​ จะรวมเป็น 3.26​ ล้านคนที่อยู่ในข่ายว่างงานที่สุด​ เท่าที่จะเป็นไปได้ในสิ้นปีนี้​ หรือจะได้เห็นตัวเลขนี้ในปีหน้า​ คิดเป็น 8.5%ของแรงของกำลังแรงงานทั้งหมด 37 ล้านคน ซึ่งตัวเลขวิกฤตนี้สูงกว่าช่วงวิกฤตเศรษฐกิจต้มยํากุ้งปี 2540 ด้วยซ้ำไป

หลายคนอาจสงสัยว่าผู้ที่มีงานประจำแล้วไม่ได้ทำงานคือใคร​ ผมลงไปพูดคุยกับ​ พนักงานโรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองพัทยา​  คนเหล่านี้ยังอยู่ในระบบการจ้างงาน​ แต่ไม่มีงานทำเพราะไม่มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการ​ ไปดูกันนะครับว่าชีวิตของพวกเขาอยู่บนเส้นด้ายมากน้อยแค่ไหน

พนักงานบริการ​เสี่ยงตกงานมากสุด

เมืองพัทยาวันนี้ ไม่คึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวต่างชาติเหมือนเคย​ ​ร้านค้าริมถนนหน้าชายหาด ทยอยปิดตัวลง​ แม้รัฐบาลประกาศผ่อนปรนการดำเนินธุรกิจ แต่สัญญาณของการฟื้นตัวก็ยังไม่กลับคืนมา

เหล่านี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อพนักงานภาคบริการจำนวนมาก ที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจการท่องเที่ยว 

ธนายุทธ​ บัวลอย​ เป็นพนักงานเสริฟโรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองพัทยา เป็นเวลา 6 เดือนแล้วที่เขารับเงินเดือนเพียงครึ่งเดียวซึ่งยอมรับว่าไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายที่ต้องแบกรับทั้งค่างวดผ่อนรถ​ และค่าเช่าบ้าน

สิ่งที่เขาต้องการ คือยอมให้นายจ้าง​ จ้างออกโดยจ่ายชดเชยตามกฎหมาย​ เพื่อขอรับเงินก้อนไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ 

แต่นายจ้างไม่ยอมจ้างออก ยังคงจ่ายเงินเดือนเพียงเดียวบีบให้พนักงานลาออกโดยสมัครใจเพราะไม่ต้องการจ่ายชดเชย

ทุกวันนี้​ ธนายุทธ​ หารายได้เสริมโดยการขับ Grab Bike พร้อมทนอยู่ไปด้วยความหวังว่าสถานการณ์น่าจะดีขึ้น​ และยังอยากอยู่ในเมืองพัทยาต่อไป หากต้องออกจากงานเขาพร้อมที่จะเป็นฟรีแลนซ์รับจ้างเป็นครั้งๆ​ เพราะยังเห็นโอกาสมากกว่าการกลับบ้าน ซึ่งไม่มีทักษะของการเป็นเกษตรกร

นอกจาก​ ธนายุทธ​ ยังมีพนักงานคนอื่นๆที่อยู่ในโรงแรมเดียวกัน​ ที่เผชิญปัญหาเหมือนกัน ยื่นเรื่องฟ้องร้อง ต่อกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน​ ซึ่งจนถึงวันนี้ยังไม่มีความคืบหน้า

พนักงานโรงแรมทั้งสองคน บอกว่า พร้อมรับความเสี่ยงที่จะตกงาน​ ขอเพียงแต่ได้เงินชดเชยตามกฎหมาย​ เพื่อนำไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในอาชีพใหม่​ และขอความเป็นธรรมจากนาย​จ้าง ไม่เอาเปรียบพนักงานด้วยการบีบให้ลาออกเอง​ ซึ่งจะทำให้เสียผลประโยชน์​หลายอย่าง​จากรัฐ​ ในโครงการช่วยเหลือเยียวยา​ต่างๆด้วย​ 

6.4​ แสนคนเตรียมเปลี่ยน​อาชีพ​

พนักงานในภาคบริการโดยเฉพาะกลุ่มโรงแรมได้รับผลกระทบจากโควิดมากที่สุดก็สอดคล้องกับข้อมูลของ TDRI​ ที่ระบุว่าอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือภาคบริการซึ่งมีจำนวนแรงงาน​ 19 ล้านคนในไตรมาส 2 ที่ผ่านมาก็พบว่ามีจำนวนแรงงานในภาคบริการรถลง 1.8% หรือคิดเป็น 3.4 แสนคนซึ่งถือว่ามากที่สุดเมื่อเทียบกับภาคธุรกิจอื่นๆ

ดูจากตัวเลขที่​  ผลกระทบของโควิค 19 ที่มีต่อแรงงานตามประเภทอุตสาหกรรมในภาพรวมโดยการเปรียบในไตรมาส 2 พบว่าภาคการเกษตรที่มีจำนวนแรงงานอยู่กว่า​ 11​ ล้านคนก็จะมีการจ้างงานลดลงไป 0.3% อุตสาหกรรมที่มีจำนวนแรงงาน 6.27  ล้านคน​ ก็จะลดลงไป 4.2 % ส่วนอุตสาหกรรมการผลิตที่มีจำนวน 6 ล้านคนก็จะลดลงไป 4.49 % และในส่วนของภาคบริการซึ่งมีจำนวนมากที่สุดถึง 19.8 ล้านคนก็จะลดลงไป 1.8% รวมอัตราการจ้างงานที่ลดลงทั้งหมดจะ ทำให้การจ้างงานที่หายไปมีจำนวนถึง 648,790  คน​ และกลุ่มคนเหล่านี่จำเป็นต้องเปลี่ยนอาชีพ

ดร. ยงยุทธ​ แฉล้มวงษ์​ ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาแรงงานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย​ หรือ​ ทีดีอาร์ไอ​ บอกว่า​ เมื่อประเมินความเป็นไปได้หากมีแรงงานหลุดออกมานอกระบบในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจจาก covid-19 จะมีทางเลือก 2 ทางคือ 1 กลับไปสู่ภาคการเกษตรและการแปรรูปอาหารและ 2 เป็น Freelance รับจ้างพาร์ทไทม์

โดยตัวอย่างของการบินไทยเห็นได้ชัดเป็นธุรกิจภาคบริการที่จะรับผลกระทบจากการระบาดของโควิช 19 ที่ไม่สามารถขึ้นบินได้ทุกวันนี้บริษัทในยุคฟื้นฟูต้องปรับตัวในการขายตั้งแต่ปาท่องโก๋สังขยาเปิดภัตตาคารอาหารซึ่งนับว่าปรับตัวจากสายการบินมาเป็นบริการมาแปรรูปอาหารเพื่อความอยู่รอด

บอกอีกว่าแนวโน้มการจ้างงานในอนาคตจะไม่มีแต่พนักงานประจำแต่จะเป็นลักษณะการจ้างงานเป็นครั้งเช่นฟรีแลนซ์หรือรับจ้างเป็นกัดหรือพาร์ทไทม์ซึ่งนับเป็นแรงงานนอกระบบที่ยังไม่มีกฎหมายควบคุมอย่างจริงจังจึงมีข้อเสนอให้กระทรวงแรงงานเร่งผลักดันกฎหมายคุ้มครองแรงงานนอกระบบเพื่อรองรับแรงงานคนตกงานจากงานประจำ

ในส่วนภาคการเกษตรที่จะมีคนว่างงานเปลี่ยนไปทำอาชีพนี้มากขึ้นรัฐบาลจะต้องให้ความรู้และส่งเสริมด้านการตลาดผักดังราคาสินค้าเกษตรส่งเสริมการแปรรูปอาหารการส่งออกให้มากขึ้น

ดร.ยงยุทธ​ บอกด้วยว่า​ จริงๆแล้ววิกฤต​ว่างงานจะต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว​ จากสถานการณ์​เทคโนโลยีปั่นป่วน​ หรือดิสรับชั่น แต่ที่รุนแรงและหนักหน่วงเช่นทุกวันนี้ก็เพราะว่าซ้ำเติมจากการระบาดของ covid 19 

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานยังมองโลกในแง่ดีว่า​ การแก้ไขปัญหาระยะเร่งด่วนคือการจัดจ๊อบแฟร์ที่จะมีขึ้นในวันเสาร์อาทิตย์ไปจนถึงวันจันทร์ที่จะถึงนี้​ จะดูดซับคนตกงานได้จำนวนหนึ่งล้านตำแหน่งตามที่ต้องการ​ ขณะเดียวกันก็รับทราบข้อเสนอในการผลักดันร่างกฎหมายคุ้มครองแรงงานนอกระบบเข้าสภา ให้เร็วที่สุด

ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า​ ถ้ารัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาการจ้างงานได้​ ก็จะส่งผลกระทบไปถึงภาวะหนี้ครัวเรือน​ และกำลังซื้อของประชาชนผูกพันไปถึงระบบเศรษฐกิจทั้งระบบ

แม้จะส่งเงินกู้​ 4​ แสนล้าน​ ลงไปเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ แต่คำถามที่ยังมีจนถึงทุกวันนี้คือ​ ทุกภาคส่วนใช้เงินส่วนนี้อย่างตรงจุดในการแก้ปัญหาปากท้องแล้วหรือยัง.

ความคิดเห็น