เก็บตกจากวชิรวิทย์ | ซีรี่ย์เกาหลีดัง สู่คลาสกิจกรรมบำบัด ปลุกตัวเองตื่นจากฝันร้าย!
มองซีรี่ย์เกาหลี it's okay to not be okay ผ่านมุมนักกิจกรรมบำบัด เป้าหมายคือทำอย่างไรให้ชีวิตที่ตื่นจากฝันร้ายเดินหน้าต่อไปได้
แม้เมืองไทยจะไม่มีมุนคังแท ผู้ดูแลแผนกจิตเวชสุดหล่อ แต่เรามีอาจารย์คณะกายภาพบำบัด ที่ศึกษาเรื่องจิตสังคมมากว่า 20 ปี จะมาชวนคุยถึงวิธีการ บำบัดอาการที่เกิดจากบาดแผลทางจิตใจ
วันนี้หนุ่มน้อยตื่นเพราะฝันร้ายที่น่าหวาดกลัวเช่นเคย เพราะความทรงจำในอดีตที่อยากลืมมันหลอกหลอนในฝันทุกคืน หนุ่มน้อยเลยต้องทุกข์ทรมานไม่สิ้นสุด หนุ่มน้อยกลัวการนอนหลับเป็นอย่างยิ่ง วันหนึ่งเขาจึงไปหาแม่มดแล้วขอพร
"ท่านแม่มดได้โปรดเถอะเพื่อไม่ให้ผมฝันร้ายอีก ช่วยลบความทรงจำเลวร้ายทั้งหมดในหัวผมที แล้วผมจะมอบทุกอย่างที่ท่านต้องการให้"
วันเวลาผ่านไปหนุ่มน้อยโตเป็นผู้ใหญ่ไม่ฝันร้ายอีกต่อไปแล้วแต่ ไม่รู้ด้วยเหตุใดเขาไม่มีความสุขเลยสักนิด
คืนที่จันทร์เต็มดวงสีเลือดลอยเด่น แม่มดปรากฏตัวอีกครั้งเพื่อรับสิ่งตอบแทนจากพรที่ให้ไป เขาตะโกนใส่แม่มดด้วยเสียงของผู้ใหญ่ที่คับแค้นใจ
"ลบความทรงจำเลวร้ายของผมไปหมดแล้วแต่ทำไมผมยังไม่มีความสุขอีก"
จากนั้นแม่มดก็เอาวิญญาณของเขาไปตามสัญญาแล้วพูดแบบนี้
"ความทรงจำที่เจ็บปวดและทุกข์ทรมาน ความทรงจำที่เสียใจอย่างสุดซึ้ง ความทรงจำที่ทำให้คนอื่นและตัวเองเจ็บปวด ความทรงจำของการถูกทอดทิ้ง มีแค่คนที่เก็บความทรงจำเหล่านั้นไว้ในใจและใช้ชีวิตต่อไป ที่จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น มุ่งมั่นมากขึ้น และสุขุมกว่าเดิม ความสุขน่ะมีแต่คนเหล่านั้นที่ได้มันไปครอง เพราะงั้นอย่าลืม อย่าลืมแล้วผ่านมันไปให้ได้ ถ้าผ่านมันไปไม่ได้เธอก็จะเป็นแค่เด็กน้อยที่วิญญาณไม่เติบโต"
เนื้อเรื่องจากนิทาน หนุ่มน้อยผู้โตมาด้วยฝันร้าย ในซีรีย์เกาหลียอดฮิต it's okay to not be okay เรื่องหัวใจไม่ไหวอย่าฝืน กำลังเป็นกระแสสังคมอยู่ในขณะนี้ ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมคนพูดถึง เพราะนิทานที่ดูไร้เดียงสา ถูกเปลี่ยนเป็นด้านมืด สวนทางกับนิทานวัยใสอย่างที่เราคุ้นเคย แต่กลับเป็นเรื่องจริงในชีวิตที่ทุกคนต้องเผชิญ
ไม่มีใครปฏิเสธได้ถึงความทรงจำในอดีตอันเลวร้าย จะมีมากหรือมีน้อย จะเผชิญรุนแรงหรือไม่ก็ต่างกันไปตามแต่ละบุคคล แต่จำนวนไม่น้อยในสังคมเกาหลีพบเจอกับความรุนแรงเช่นนี้ จนทำให้มีปัญหาทางสุขภาพจิตอย่างกว้างขวาง
มองย้อนกลับมาในประเทศไทย เราพูดถึงเรื่องนี้กันน้อยเกินไป ภาวะทางสุขภาพจิตที่ยังไม่ถือเป็นโรคหลายคนมองว่ายังไม่ต้องได้รับการบำบัดรักษา แต่ในต่างประเทศให้ความสำคัญกับเรื่องนี้และรักษาบำบัดอย่างจริงจัง โดยประเทศไทยมีนักกิจกรรมบำบัดอยู่เพียง 50 คนขณะที่ประเทศญี่ปุ่นมีมากถึง 8 หมื่นคน
📌 มองพฤติกรรมตัวละคร สะท้อนความจริง ของภาวะ PTSD
ตัวละครที่ชื่อว่า "โกมุนยอง" เป็นนางเอกของเรื่อง มีบุคลิกที่แปลกแตกต่างจากคนทั่วไป อารมณ์ฉุนเฉียวเอาแต่ใจ และมักคิดในเชิงลบ รวมทั้งมีพฤติกรรมที่ทรมานจิตใจตัวเองด้วยการมีภาพหลอนซ้ำ แต่ก็พยายามกลบเกลื่อนตัวเองด้วยการแต่งตัวสวยงาม
ถ้าจะมีใครสักคนที่เข้าใจพฤติกรรมแปลกๆ ของนางเอก ก็คือพระเอกของเรื่อง "มุนคังแท" เป็นผู้ดูแลในโรงพยาบาลจิตเวช ซึ่งจริงๆแล้วภูมิหลังของพระเอก และพฤติกรรมของพระเอกบางอย่างก็มีปัญหาทางสุขภาพจิต ไม่ต่างจากนางเอกเหมือนกัน ทั้งคู่จึงมาเติมเต็มและแก้ปัญหาทางใจให้แก่กันและกันได้
ปัญหาทางสุขภาพจิตที่ทั้งพระเอกและนางเอกของซีรีย์เรื่องนี้กำลังเผชิญอยู่เรียกว่าภาวะ PTSD หรือโรคความผิดปกติทางจิตใจภายหลังภยันตราย เป็นโรคจิตเภทชนิดหนึ่งที่เกิดจากสภาวะจิตใจของผู้ป่วยได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจากเหตุการณ์เลวร้าย เช่น การก่อการร้าย สงคราม การถูกข่มขืน ประสบภัยพิบัติ ประสบอุบัติเหตุ เป็นต้น ซึ่งผู้ป่วยอาจจะเป็นผู้ที่ประสบเหตุการณ์โดยตรง หรือเป็นผู้ที่ได้รับการสูญเสียจากเหตุการณ์ทางอ้อม ซึ่งผู้ที่อยู่ในภาวะ PTSD จะมีอาการที่เรียกว่า Trauma (ทรอม่า) คืออาการที่เกิดจากบาดแผลทางใจ
📌สำรวจตนเอง มีอาการโทรมาอยู่หรือไม่ ?
ผศ.ดร.ก.บ.ศุภลักษณ์ เข็มทอง อาจารย์นักกิจกรรมบำบัด คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งศึกษาเรื่องจิตสังคม ใช้กิจกรรมในการบำบัด ปัญหาบาดแผลทางใจและเสริมสร้างสุขภาพจิตมาตั้งแต่ปี 2535 บอกว่า คนเราสามารถสะสมปมและความทรงจำอันเลวร้ายไว้ภายในจิตใจตั้งแต่อายุ 7 ขวบ ซึ่งการสอบสวนโรคหรือการหาสาเหตุนั้นจะยิ่งไม่เป็นผลดีต่อผู้ป่วย เพราะเป็นการตอกย้ำ แต่สิ่งที่ดีที่สุดคือตั้งสติแล้วเดินไปข้างหน้า
อาการทรอม่า หลักๆจะประกอบไปด้วยการมีภาพหลอนซ้ำ นอนไม่หลับฝันร้าย คิดแต่เรื่องเดิมๆในอดีตวนไปวนมา กลัวการเข้าสังคม ไม่ไว้ใจคนแปลกหน้า ต้องการพื้นที่ปลอดภัย มีบุคลิกที่เก็บซ่อนไว้ อาจไปชดเชยในทางอื่น เช่นบางคนที่มีอาการทรอม่าก็จะเขียนหนังสือและแต่งนิยายได้เป็นเล่มๆ
ผู้ที่มีอาการทรอม่า มักไม่รู้ว่าตัวเองป่วยหรือมีภาวะป่วย และต่อให้รู้ว่าป่วย การระบุว่าเป็นผู้ป่วย กลุ่มคนเหล่านี้ก็มักจะปฏิเสธการรักษา หากไม่ได้รับการเยียวยาบำบัดจะส่งผลกระทบ ให้อาการหนักมากขึ้น กลายเป็นคนที่มีอารมณ์ตึงเครียดตลอดเวลา มีภาวะซึมเศร้าจนถึงโรคซึมเศร้า และร้ายแรงที่สุดคือสมองเสื่อม
📌วิธีเยียวยาและบำบัด อาการที่เกิดจากบาดแผลทางใจ ทำอย่างไร?
นอกจากการใช้ยาบางตัวในการรักษาแล้ว กิจกรรมบำบัดถือว่ามีส่วนอย่างมาก สำหรับผู้ป่วยบางราย การทำกิจกรรมบำบัดอาจต้องวิเคราะห์จากการตรวจคลื่นสมองและสแกนสมอง
สมองที่ถูกวิเคราะห์ออกมาในรูป 3 มิติจะเห็นสีที่ชัดเจน ของสมองซีกซ้าย ซีกขวา หน้าและหลัง ซึ่งแต่ละส่วนจะทำหน้าที่บ่งบอกต่างกัน
ยกตัวอย่าง เช่น หากสมองซีกซ้ายมีสีเข้ม นั่นหมายความว่าถูกใช้งานเยอะ ซึ่งสมองซีกซ้ายเป็นสมองของการใช้เหตุและผลในการคิด วิธีการบำบัด ก็ต้องมองไปในแง่ดีว่าสมองซีกขวา ยังถูกใช้งานน้อยเพราะมีสีอ่อน กิจกรรมที่จะบำบัดก็จะมุ่งเน้นไปในเชิงศิลปะ การร้องเพลง เป็นต้น เป็นการนำเทคนิคการแพทย์เข้ามาประยุกต์ใช้กับกิจกรรมบำบัด
แต่ไม่มีการบำบัดใดที่ดีไปกว่าการฟังอย่างเข้าใจ ถ้าผู้ที่มีอาการทรอม่าได้ระบายออกมา ก็จะช่วยเยียวยาจิตใจได้ และแน่นอนมีท่าบริหารบางท่าที่ปรากฏในซีรีย์ชุดนี้ หนึ่งในนั้นคือท่า "โอบกอดผีเสื้อ"
อันที่จริงท่าโอบกอดผีเสื้อ ไม่ได้เป็นเพียงแค่การกอดตัวเองไว้แบบในซีรี่ย์อย่างเดียว แต่นักกิจกรรมบำบัดสาธิตให้ดูว่า มีการเอานิ้วโป้งซ้ายและขวาประสานกันเหมือนผีเสื้อ และใช้ฝ่ามือตบไปที่หน้าอกเบาๆซ้ายและขวาสลับกันเบาๆพร้อมกับหายใจเข้าออกช้าๆ เหมือนเป็นการเรียกสติให้กลับมา
อีกหนึ่งท่าที่นักกิจกรรมบำบัดสาธิต คือการพนมมือหายใจเข้า และหายใจออกเอามือประสานกัน ทำแบบนี้สลับกัน 3 ครั้ง พร้อมกับพูดข้อความบวกกับตัวเอง เช่น "ฉันไม่กลัว" "ฉันทำได้" "มันผ่านมาแล้ว"
หรือจะเป็นการกอดจากอีกฝ่ายหนึ่งโดยไม่เคาะและไม่ลูบ กอดเฉยๆเป็นเวลา 20 วินาที ก็จะช่วยได้ การกอดนี้ช่วยได้มาก
สำหรับผู้ป่วยที่ถลำลึกไปสู่ภาวะซึมเศร้าหรือโรคซึมเศร้า กิจกรรมบำบัดที่จำเป็นต้องทำคือ การกอดวันละ 12-15 ครั้ง ครั้งละ 20 วินาทีต่อวัน ทำติดต่อกัน 21 วัน จะช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้าได้
แต่ถึงอย่างนั้น อาจารย์นักกิจกรรมบำบัดที่ทำเรื่องจิตสังคมมาหลายสิบปียอมรับว่า ผู้ที่มีอาการซึมเศร้า หรือทรอม่า ไม่มีการรักษาใดที่ทำให้หายขาด หายขาดในที่นี้คือลืมจากความทรงจำเดิมๆ เพียงแต่ทำให้อาการเจ็บปวดทางจิตใจบรรเทาลงไป ด้วยการตั้งสติ รู้ตัว ไม่ฟุ้งซ่าน
ผศ.ศุภลักษณ์ บอกว่าเป้าหมายของกิจกรรมบำบัด คือ "ทำให้เขาไปข้างหน้าได้" มันก็เหมือนอย่างเนื้อหาในนิทานที่โกมุนยองว่าไว้
"มีแค่คนที่เก็บความทรงจำเหล่านั้นไว้ในใจและใช้ชีวิตต่อไป ความสุขน่ะมีแต่คนเหล่านั้นที่ได้มันไปครอง เพราะงั้นอย่าลืม อย่าลืมแล้วผ่านมันไปให้ได้"
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น