เก็บตกจากวชิรวิทย์ | พลิกปมข่าว​ ​ตอน​ "วัยต่างเห็นต่างไม่ขัดแย้ง"

ช่วงนี้สถานการณ์​ทางการเมือง​ร้อนแรงไม่เว้นวันจากกลุ่มเยาวชน​และนักศึกษา​ที่รวมตัวกัน​ แสดงจุดยืนและทำกิจกรรม​ทางการเมือง​ ด้านหนึ่งแสดงความตื่นตัวในระบบประชาธิปไตย​ แต่อีกด้านการเมืองก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อน​ ที่ทำให้เกิดความยัดแย้ง​ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง​ในครอบครัว​ ซึ่งมีคน 2​ รุ่น​ ที่ถูกหล่อหลอมในสังคมที่แตกกัน​ 


ถ้าครอบครัวไหนที่มีความคิดเห็นทางการเมืองที่เหมือนกัน การที่บุตรหลานออกไปร่วมกิจกรรมทางการเมืองในแบบเดียวกันก็คงจะไม่ใช่ปัญหาอะไร​ แต่กับครอบครัวที่มีความเห็นต่างทางการเมือง ส่วนหนึ่งก็อาจเป็นเรื่องของช่วงวัยที่ต่างกัน ดูเหมือนจะเป็นเรื่องยากที่จะคุยกันถึงเรื่องนี้

ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับเยาวชน​ นักศึกษาที่ออกมาทำกิจกรรมทางการเมืองกันอย่างต่อเนื่องเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา​ และร่างรัฐธรรมนูญใหม่ แม้สิ่งที่ทำอยู่จะเป็นความหวังดี​ ที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงประเทศ แต่เมื่อกลับบ้านไปแล้วต้องเจอกับความเห็นต่าง จะอยู่ร่วมกันอย่างไร


ครอบครัว​เห็นต่างการเมือง

มองดูภายนอกก็เหมือนนักศึกษา​หญิงปี​ 1​ ธรรมดาทั่วไป แต่การอยู่ท่ามกลางการทำกิจกรรมทางการเมืองหน้าทำเนียบรัฐบาล​ ทำให้เรารู้ว่า​ เธอเป็นส่วนหนึ่งของการชุมนุมทางการเมือง​ที่มีกลุ่มนักศึกษาและเยาวชน​ ทยอยออกมาส่งเสียงให้รัฐบาลยุบสภาและร่างรัฐธรรมนูญใหม่แทบทุกวันในเวลานี้

การแสดงออกทางการเมืองที่ชัดเจน​ เป็นการแสดงจุดยืน​ทางความคิด ที่ทั้งกลุ่มเพื่อนและครอบครัวก็รับรู้​ ปัญหาก็คือคนในครอบครัวอาจมีความคิดเห็นทางการเมืองที่ต่างไปจากคนรุ่นใหม่​ กลายเป็นความขัดแย้งที่หาทางออกไม่ได้

แม้ปีนี้จะมีอายุเพียง​ 15​ ปี​ แต่ก็คิดว่าไม่เด็กเกินไปที่จะออกมาชุมนุม​ทางการเมือง​ เธอยอมรับว่าพ่อและแม่​มีจุดยืนเดียวกันเธอ​ แต่เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย​จึงไม่อยากให้ออกร่วมกิจกรรม​ แต่เธอยืนยันว่าดูแลตัวเองได้​ 

เพราะสมาชิกในครอบครัว​ ไม่ได้มีแค่พ่อและแม่​ ญาติพี่น้อง​คนอื่น​ ที่มีความเห็นทางการเมืองที่ต่างกัน​ก็ยากที่คุยกัน​ เด็กหญิงวัย​ 15​ คนนี้บอกว่าอยากให้ผู้ใหญ่รับฟัง​ แม้จะมีจุดยืนที่ต่างกันก็อยู่ร่วมบ้านเดียวกันได้

คงต้องจับตาดูว่า​ ความเคลื่อนไหว​ทางการเมืองของกลุ่มเยาวชน​ จะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่​ ขณะที่ความอ่อนไหวในสถาบันครอบครัว​ก็ยังเป็นเรื่ิองที่ต้องเฝ้าระวังควบคู่​กันไป​ 

วิเคราะห์​ปรากฏการณ์​ความต่าง​ 2​ รุ่น

หากกล่าวถึงปรากฏการณ์ความเห็นต่างของคนทั้ง 2 รุ่น​ เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีตจะพบว่าโครงสร้างทางการเมืองมีส่วนบ่มเพาะให้คนรุ่นเก่าเชื่อฟังผู้นำ​ ขณะที่ปัจจุบัน​นั้น​ การเข้าถึงเทคโนโลยี​ และบริบทสังคมเปลี่ยนไปมาก

​​ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลออกนโยบาย ในลักษณะที่ว่า​ เชื่อผู้นำชาติพ้นภัยทำให้ประชากรมีความยึดโยงเหนียวแน่นกับการเชื่อฟังผู้นำเพื่อสร้างชาติ​ คือตัวอย่างประสบการณ์​ ที่​ วีรพร​ นิติประภา​ นักคิด​และนักเขียนนวนิยาย​ หยิบยกเพื่อให้เห็นภาพ

แต่เมื่อเวลาผ่านไป​ ในยุคปัจจุบัน​เยาวชนสามารถพึ่งพาตัวเองผ่านทางเทคโนโลยี​ สืบค้นหาข้อมูลและประกอบกับนวนิยายและวรรณกรรมต่างๆที่บอกเล่าว่าคนธรรมดาก็สามารถเป็นซุปเปอร์ฮีโร่​ และเปลี่ยนแปลงสังคมได้​ วิธีคิดของคนทั้งสองรุ่งจึงต่างกัน

ขณะที่​ ดร.สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ งานการพัฒนา​ ในฐานะนักวิชาการ​ครอบครัว​ กล่าวว่าทางออกสำหรับความขัดแย้งในครอบครัวประกอบด้วย 5 สิ่งที่​ การทำความเข้าใจ​ถึงพัฒนาการตามวัย ซึ่งอาจมีความเลือดร้อนและมีความคิดขบถซ่อนอยู่เล็กน้อย​

 จากนั้นก็รับฟังอย่างเปิดใจ​ และการยอมรับ​ เมื่อลูกมีความเห็นต่างทางการเมือง​ ต้องไม่จับผิด​ หรือสั่งสอนทำนองว่าอาบน้ำร้อนมาก่อน​ ต่อมาคือ ชี้ให้เห็น​ ซึ่งพ่อแม่ในฐานะผู้ใหญ่ก็จะสามารถหยิบยกเหตุการณ์ขึ้นมาเปรียบเทียบถึงผลของการกระทำได้​ และ สุดท้ายคือทำใจ​ ว่า​จำเป็นต้องมีบทเรียนของการลองผิดลองถูก​ ผู้ใหญ่สามารถแนะนำได้ในเชิงขอบเขต​เท่านั้น

เรื่องของการเมืองก็จะดำเนินไปในแบบการเมือง ที่ต่างคนต่างก็มีเหตุผลในการสนับสนุนตัวเอง​ แต่ก็เกิดการเจรจาขึ้นหลายครั้ง มีสำเร็จบ้างไม่สำเร็จบ้าง

เราอาจจำเป็นจะต้องแยกแยะกันระหว่างเรื่องการเมืองกับครอบครัว แม้จะจุดยืนต่างกันมีความเห็นที่ไม่ตรงกัน ก็ถือว่าเป็นธรรมชาติของมนุษย์​ ถ้าหากว่าครอบครัวสามารถปรับตัวรับฟังความเห็นต่างได้ ไม่แน่ว่าการเมืองก็อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ ไปเป็นการเมืองที่รับฟังกันมากขึ้น​ เริ่มจาก การทำความเข้าใจกันภายในครอบครัว.

ความคิดเห็น