เก็บตกจากวชิรวิทย์ | 50:50 ความหวังวัคซีนโควิด-19
เดือนตุลาคม 2563ไทยวางแผนที่จะทดลองวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในมนุษย์ หลังคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันวัคซีนแห่งชาติ และบริษัทไบโอเนต-เอเชีย ได้ร่วมกันพัฒนาวัคซีนต้นแบบ และนำไปทดลองในลิงแสม
แม้การพัฒนาวัคซีนต้นแบบที่ใช้ในหนูและลิงจะมีความคืบหน้าไปมาก แต่กระบวนการภาคสนาม ที่ทดลองกับคนในชุมชนกลุ่มใหญ่ ยังคงต้องใช้เวลาและเป็นขั้นตอนสำคัญที่สุดเพราะเป็นการพิสูจน์ว่าวัคซีนได้ผลจริงหรือไม่ มีผลข้างเคียงอันตรายแค่ไหน
การพัฒนาวัคซีนของไทย ต้องทดลองกับประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียน เช่น อินโดนีเซีย เนื่องจากบ้านเรามีผู้ติดเชื้อน้อย แตืที่อินโดนีเซีย มีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก
การหวังใช้วัคซีนถือเป็น "hope of the best" คือเป็นความหวังที่ดีที่สุด แต่ก็ต้องเผื่อใจ 50:50 เพราะโรคระบาดบางชนิดก็ไม่สามารถใช้วัคซีนป้องกันได้
หากย้อนดูโรคระบาดที่กลายเป็นโรคประจำถิ่นที่ผ่านๆมา บางโรคก็ยังไม่มีวัคซีนรักษา "นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์" อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ยกตัวอย่าง "ไข้เลือดออก" ที่ระบาดในไทยมา 50 ปี มี 4 สายพันธุ์ ยังไม่มีวัคซีนใช้ เพราะการมีวัคซีนจะต้องครอบคลุมทุกสายพันธุ์ถึงจะได้ผล
ในขณะที่ "โรคเอดส์" ระบาดมาเป็นเวลากว่า 30 ปี เป็นโรคที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง กลไกวัคซีนจึงใช้ไม่ได้ผล ส่วน "ไข้หวัดใหญ่" ก็มีจำนวนหลายสายพันธุ์ จำเป็นต้องพัฒนาวัคซีนขึ้นมาใช้ในแต่ละสายพันธุ์ให้ครอบคลุม
อย่างไรก็ตาม โคโรนาไวรัสหรือ "โควิด-19" มีเชื้อที่ไม่ได้มีความสลับซับซ้อน อีกทั้งเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนปัจจุบันต่างจากอดีต มีความก้าวหน้าไปมาก อาจสามารถผลิตวัคซีนได้
"แม้ปัจจุบัน โควิด-19 จะมีการกลายพันธุ์ แต่การกลายพันธุ์ที่ว่านี้ ต้องดูว่าส่งผลกระทบต่อความรุนแรงของโรคหรือไม่ หากไม่ได้ส่งผลกระทบในเชิงคลินิก ก็ยังมีหวังที่จะผลิตวัคซีนได้ ซึ่งส่วนนี้ยังคงต้องรอข้อมูลศึกษากันอีกยาว" นายแพทย์โอภาส กล่าว
อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ระบุอีกว่า นอกจากวัคซีนแล้ว การพัฒนายา ก็ยังคงมีความหวัง แต่การพัฒนาวัคซีนไปไกลกว่าการพัฒนายา ปัจจุบันยังคงใช้ยารักษาโรคตัวอื่นแทนการรักษาโควิด 19 ซึ่งได้ผลบ้าง ไม่ได้บ้าง ซึ่งยังคงต้องพัฒนาต่อไป
🔴 ถ้ายังไม่มีวัคซีนและยา ต้องทำอย่างไร?
การหาผู้ป่วยเชิงรุก ช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี ทำได้ 3 วิธีคือ
1.การตรวจจากเชื้อจากสถานที่กักกัน หรือ State Quarantine
2.การลงพื้นที่สุ่มตรวจในชุมชนกลุ่มเสี่ยง เช่น ภูเก็ต, 3 จังหวัดชายแดนใต้ จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นจุดที่พบผู้ติดเชื้อแรกๆ
และ 3. การเฝ้าระวังที่โรงพยาบาลโดยเฉพาะที่คลินิกโรคทางเดินหายใจ ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ จะถูกส่งตรวจทั้งหมด
"แม้จะพ้นการระบาดระยะหนึ่งไปแล้ว แต่การตรวจหาผู้ป่วยเชิงรุกก็ยังคงทำอย่างต่อเนื่อง ในช่วงแรกกลุ่มเสี่ยงคือกลุ่มแรงงาน และกลุ่มคนที่ทำงานที่ต้องพบเจอผู้คนมากในที่สาธารณะ จำนวน 1 แสนตัวอย่างไม่พบผู้ติดเชื้อ ล่าสุดหลังการปลดล็อคเฟส 5 กลุ่มเสี่ยงคือ สถานประกอบการ พนักงานบริการ ก็จะเน้นลงไปตรวจกลุ่มนี้" นายแพทย์โอภาส ย้ำ
ขั้นตอนการตรวจหาเชื้อประกอบไปด้วย
การเก็บตัวอย่าง ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ใช้เวลานาน เนื่องจากมีแลปเพียง 2 แห่งคือ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ปัจจุบันได้ขยายห้องแลป ในการตรวจเชื้อโควิดไปถึง 205 ห้อง ครอบคลุมทั่วไทยแทบทุกโรงพยาบาล ช่วยร่นเวลาการส่งตัวอย่าง โดยการตรวจวินิจฉัย ใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมงก็สามารถรายงานผลได้
ช่วงที่โควิด-19 ระบาดแรกๆ ใช้ระยะเวลาในการส่งตัวอย่างและวินิจฉัยนาน เพราะมีแล็ปเพียง 2 แห่ง แต่ในช่วง 6 เดือนหลังการระบาด จำนวนแลปที่ครอบคลุมทำให้รู้ผลได้ภายใน 24 ชั่วโมง
การตรวจหาผู้ป่วยเชิงรุก ก็จะช่วยติดตามผู้ติดเชื้อ และยับยั้งการระบาด ติดต่อได้อย่างรวดเร็วในช่วงเวลาที่ยังไม่มีวัคซีน และยารักษาโรคนี้
#วชิรวิทย์รายวัน #เก็บตกจากวชิรวิทย์
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น