เก็บตกจากวชิรวิทย์ | พัฒน์พงษ์กำลังจะตาย! แห่เซ้งร้าน คนว่างงานขายตัว
"ทอมทอมแวร์ยูโกลาสไนท์ ไอเลิฟเมืองไทย ไอไลค์พัฒน์พงษ์" เนื้อเพลงติดหูของวงคาราบาวที่มีมาเนิ่นนาน สะท้อนภาพสังคมไทยในชื่อเพลง "เวลคัมทูไทยแลนด์"
นักท่องเที่ยวต่างชาติส่วนใหญ่ที่มาเมืองไทย ก็เพราะแรงดึงดูดจากแหล่งสถานบันเทิงที่ขึ้นชื่ออย่าง "พัฒน์พงษ์" และในย่านต่างๆทำนองเดียวกันนี้
แต่เชื่อไหมว่า ผมไม่เคยไปเที่ยวย่านพัฒน์พงษ์หรือสีลมเลย เพราะเป็นย่านของชาวต่างชาติส่วนใหญ่เด็กไทยคุ้นชินแถวทองหล่อ เอกมัย ข้าวสาร หรือไม่ก็ RCA
ช่วงโควิด สถานบันเทิงที่ผมกล่าวมาทั้งหมดนั้นปิดสนิทจากมาตรการล็อคดาวน์คุมโรคระบาด
นี่คือภาพถ่าย ถนนพัฒน์พงษ์ซอย 1 ในคืนวันศุกร์
วันศุกร์น่าจะเป็นคืนที่คึกคักในย่านสถานบันเทิง แต่วันนี้เงียบเหงา
ผมมาที่พัฒน์พงษ์ เพื่อมาทำข่าวดูว่า แหล่งท่องเที่ยวยามราตรีระดับตำนานจากรุ่นสู่รุ่น เปลี่ยนไปอย่างไร หลังถูกสั่งให้ปิดมาเป็นเวลามากกว่า 3 เดือน
สถานบันเทิงที่แออัด หนาแน่นกันอยู่ในซอยพัฒน์พงษ์ ส่วนใหญ่เจ้าของเป็นชาวต่างชาติ และชาวต่างชาติก็ทยอยเซ้งร้าน ย้ายออกไปหมด นั่นหมายความว่าพัฒน์พงษ์หลังโควิด จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ในวันที่พัฒน์พงษ์ไม่ต้องขายเหล้าเบียร์ และในช่วงเวลาที่ร้านอาหารสามารถเปิดให้บริการได้ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้นั่งกินข้าวในพัฒน์พงษ์โดยที่หาซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่ได้
ถ้ำกลางซอยมืดๆ ยังเห็นแสงไฟ สลัว จากร้าน French Kiss Bangkok อยู่กลางซอย
ร้านนี้ขายสเต็กกินคู่กับไวน์
วันนี้คนที่นั่งในร้านก็กินแต่สเต็กแบบไม่มีไวน์
เจ้าของร้านเป็นชาวฝรั่งเศส ที่ผมมีโอกาสได้พูดคุยด้วย ชื่อ MR.GILL เขาทำธุรกิจอยู่ที่นี่มา 20 ปีแล้ว
เขาบอกกับเราว่าได้รับผลกระทบอย่างหนักในช่วงที่ต้องปิดไป หากเปรียบเทียบลูกค้าก่อนโควิด มีความแตกต่างกันมาก
ในช่วงเวลาที่เพิ่งมาเปิดร้านได้ประมาณ 1 สัปดาห์ก็เพื่อที่จะทดลองดูว่าจะสามารถพยุง รายจ่าย และมีรายรับพอที่จะไปต่อหรือไม่
แต่เขาก็ยังมีความหวังว่าหลังโควิดทุกอย่างจะกลับมาคึกคักเหมือนเดิม
แต่มันจะเป็นอย่างที่ MR.GILL หวังไหม นั่นเป็นสิ่งที่ผมกังวล
แน่นอนสถานบันเทิงสถานบริการต่างๆที่ถูกปิดมีผลกระทบต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ ล้มสะเทือนไปถึงคนงานตัวเล็กตัวน้อยที่อยู่ในแวดวงธุรกิจเหล่านี้
เด็กเสิร์ฟ คนขายข้าวแกงริมทาง คนขายของที่ระลึก ตลาดไนท์บาซาร์ที่เคยมีก็ไม่มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยว พากันเงียบไปหมด
"พัฒน์พงษ์กำลังจะตาย เป็นคำพูดของ" สุรางค์ จันทร์แย้ม ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อพนักงานบริการ (SWING)
เธอเข้ามาทำงานมูลนิธิ ในพื้นที่พัฒน์พงษ์ตั้งแต่ปี 2532 ยังจดจำเหตุการณ์โรคระบาดก่อนหน้านั้นก็คือโรคเอดส์ได้ดีเมื่อปี 2537
พัฒน์พงษ์ก็ยังรอดมาได้และไม่ได้กระทบรุนแรงเท่ากับโรคโควิดครั้งนี้
คนที่ได้รับผลกระทบไปด้วยเต็มๆก็คือพนักงานขายบริการทางเพศ
แต่เชื่อหรือไม่ว่า ในช่วงโควิด กลับมีจำนวนของคนที่มาขายบริการทางเพศ เพิ่มมากขึ้น ตามอัตราการว่างงาน
หมายความว่า ถ้าใครตกงานแล้วไม่มีทางเลือกก็อาจจะเลือกขายตัว แต่การขายตัวในช่วงเวลาที่เงียบเหงาแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนักที่จะมีลูกค้ามาติดต่อ
ความเงียบเหงาที่เห็น ทำให้รู้สึกว่ามีความเป็นไปได้ที่พัฒน์พงษ์ อาจถึงคราวต้องปิดตำนาน
ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าการล็อคดาวน์เพื่อควบคุมโรคในพื้นที่สถานบันเทิง ใช้ระยะเวลายาวนานไป หรือไม่
คุ้มกับการควบคุมโรคหรือไม่ เมื่อต้องแลก กับการล้มหายตายจาก ของย่านสถานบันเทิงแห่งนี้ ซึ่งมี คนกลุ่มต่างๆที่ได้รับผลกระทบหนักเกินไปโดยไม่จำเป็น?
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น